Tue 13 Sep 2022

BLUE OCEAN

ธุรกิจจัดการชีวิตหลังความตายที่ไม่มีใครอยากทำ

ภาพ: NJORVKS

     ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากไปยุ่งเกี่ยวกับความตายหรอก…จริงไหม?

     แต่ไม่ใช่สำหรับ ‘กือรู’ เด็กหนุ่มที่มีอาการแอสเปอเกอร์ (Asperger’s Syndrome กลุ่มอาการผิดปกติทางพฤติกรรมและพัฒนาการของเด็ก) ตัวเอกแห่งซีรีส์เนตฟลิกซ์ออริจินัลเรื่อง Move to Heaven ของผู้กำกับ คิม ซองโฮ (Kim Sung-ho) ที่ข้องเกี่ยวกับความตายเต็มๆ แถมยังประกอบอาชีพเป็น ‘Trauma Cleaner’ หรืองานเก็บกวาดข้าวของที่เหลืออยู่ของผู้ตาย รวมถึงทำความสะอาดพื้นที่เกิดเหตุ และเก็บของสำคัญส่งคืนครอบครัวผู้ตายด้วย

     นี่เป็นซีรีส์ที่ขึ้นหิ้งในดวงใจของผมอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเรื่องราวเปิดเปลือยความตายอย่างเป็นธรรมชาติ สวนทางกับซีรีส์โดยทั่วไปที่มักจะไม่ค่อยมีฉากตายมากนัก เพราะจะทำให้ซีรีส์ดูเศร้า คนจะพาลไม่ดูเสียเปล่าๆ แต่สำหรับ Move to Heaven นั้นตรงกันข้าม 

     ความตายคือแก่นหลักของการดำเนินเรื่อง และยิ่งดูเราก็ยิ่งเข้าใจความตายมากขึ้นทุกที

     ในหมวกของนักลงทุน ผมรู้สึกว่าอาชีพ Trauma Cleaner เป็นอาชีพที่น่าสนใจ เพราะความตายเป็นสิ่งที่ใครต่อใครก็อยากหลีกเลี่ยง คุณอาจจะเจอกับภาพเลือดสาด หนอนขึ้นฟอนเฟะ ไปจนถึงความหลังแสนเศร้า และปริศนาความวุ่นวายตามมาไม่หยุดหย่อน

     แต่เพราะไม่มีใครอยากทำนี่แหละจึงเป็นปราการที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งของธุรกิจที่ดี 

     ธุรกิจที่น่าเบื่อ ธุรกิจที่ดูสกปรก ธุรกิจที่ดูไม่น่าทำ ธุรกิจเหล่านี้มีผลกำไรดีอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเมื่อคนไม่อยากทำ คู่แข่งในอุตสาหกรรมก็น้อย การตั้งราคาก็ทำได้ง่าย กำไรไม่ถูกกดให้ต่ำเหมือนธุรกิจที่แข่งขันกันสูง

     เอาง่ายๆ ถ้าวันนี้มีธุรกิจให้เลือกทำสองอย่าง ระหว่างร้านกาแฟกับอาชีพเก็บของคนตาย ผมเชื่อว่าเกินร้อยละ 95 จะเลือกไปทำร้านกาแฟ ต่อให้ผมบอกว่าอาชีพเก็บของคนตายจะให้กำไรดีกว่าร้านกาแฟถึง 5 เท่า ผมว่าคนก็ไม่สนใจอยู่ดี ใครจะอยากเช็ดน้ำเลือดน้ำหนองล่ะ ถ้าเลือกได้ คนก็อยากคั่วเมล็ดกาแฟ บดเมล็ดโกโก้อยู่แล้ว

     แนวคิดเรียบง่ายนี้สามารถนำไปใช้หาเงินในตลาดหุ้นได้ด้วยนะครับ โดยผมขอยกตัวอย่างจากนักลงทุนชื่อดังอย่าง ฮิลลารี เครเมอร์ (Hilary Kramer) ที่เคยเล่าแนวคิดไว้ในหนังสือชื่อ The Little Book of Big Profits from Small Stocks

     หุ้นที่ผมกำลังจะพูดถึงคือ หุ้นดาร์ลิ่ง อินเตอร์เนชั่นแนล (Darling International หรือ DAR) หุ้นที่ผมคิดว่าเปรียบกันแล้วก็แทบไม่ต่างจากอาชีพของกือรู เพราะ DAR ทำธุรกิจโดยการเก็บน้ำมันใช้แล้วจากร้านอาหาร รวมไปถึงหนังสัตว์ กระดูก เศษซากจากการชำแหละสัตว์ของโรงฆ่าสัตว์และร้านขายเนื้อ เพื่อนำไปแปรรูป

     แค่นึกภาพตามหลายคนก็คงเบือนหน้าหนี ธุรกิจที่ต้องขับรถตระเวนไปตามบ่อเกรอะ เก็บน้ำมันใช้แล้ว ไปโรงฆ่าสัตว์ เก็บซากเนื้อซากกระดูก ไม่เห็นจะน่าทำเลยสักนิด เทียบกับธุรกิจเท่ๆ อย่างโรงแรม ร้านอาหาร หรือแอพพลิเคชันเปลี่ยนโลกไม่ได้เลย

     แต่ช่วงเวลาที่เครเมอร์ลงทุนในหุ้นนี้มีความน่าสนใจอย่างมากครับ ขณะนั้นอเมริกากำลังเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ตลาดหุ้นร่วงระนาว แต่ DAR กลับเป็นหนึ่งในหุ้นที่ยังสามารถทำธุรกิจของตัวเองได้อย่างแข็งแกร่ง รายได้บริษัทโตจาก 323 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 645 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในเวลา 4 ปี นับจาก 2003-2007

     กำไรก็เติบโตดีมาก ภายในช่วงเวลาเดียวกัน กำไรของ DAR เติบโตจาก 0.29 ไปเป็น 0.59 หรือนับเป็นประมาณ 100% เลยทีเดียว หรืออย่างในช่วงวิกฤตปี 2008 ที่บริษัทต่างๆ ย่ำแย่ รายได้ครึ่งปีแรกของบริษัทกลับเติบโตสวนทางตลาดจาก 298 ล้านดอลลาร์สหรัฐไปเป็น 422 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำไรต่อหุ้นในช่วงครึ่งปีแรกเติบโตจาก 0.29 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น ไปเป็น 0.55 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น

     เธอเข้าซื้อหุ้นที่ราคาประมาณ 5 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2008 แค่เพียงช่วงกลางปีเดียวกัน ราคาหุ้นก็กลับมาแตะ 10 ดอลลาร์สหรัฐ และในขณะที่เขียนบทความนี้ (กันยายน 2022) ราคาของหุ้นทรงตัวอยู่แถว 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น 

     แปลว่าหากลงทุนตั้งแต่วันนั้นและถือหุ้นไว้จนถึงวันนี้ก็จะได้ผลตอบแทนประมาณ 1,500% เลยทีเดียว

     นอกจาก DAR แล้ว ยังมีธุรกิจจำนวนมากที่มีปราการป้องกันคู่แข่ง คือความไม่น่าสนใจของการทำธุรกิจ เช่น Service Corporation International (SCI) บริษัทรับจัดการศพและการดูแลงานศพของผู้เสียชีวิต หุ้นนี้ก็เป็นอีกหุ้นที่นักลงทุนระดับโลกอย่าง ปีเตอร์ ลินน์ (Peter Lynn) เคยตัดสินใจเข้าลงทุนจากความน่าเบื่อและแสนธรรมดาของมันนั่นเอง

     เมื่อย้อนกลับมานั่งมอง ผมเห็นแง่มุมบางอย่างที่นักลงทุนสัมผัสได้จาก Move to Heaven ทั้งในแง่การเงินและชีวิต 

     ครั้งแรกที่ผมเห็นธุรกิจของกือรู ผมสนใจมาก พูดกับเพื่อนเสียด้วยซ้ำว่าถ้ามีหุ้นแบบนี้ในตลาดหุ้นก็ดีสิ ยังไงผมก็สนใจแน่

     หุ้นที่มีความพิเศษเป็นอย่างยิ่งในความน่าเบื่อและแสนธรรมดา 

     แต่ขณะที่ผมกำลังเขียนบทความนี้ ผมกลับค้นพบว่านั่นอาจจะเป็นสิ่งเดียวกันกับที่ซีรีส์เรื่องนี้กำลังจะบอกเราผ่านการจัดการทรัพย์สินคนตายของกือรู 

     ความพิเศษอย่างยิ่งในความน่าเบื่อและแสนธรรมดา

     ซึ่งนั่นอาจจะหมายถึงชีวิต…

     Move to Heaven พาเรากลับไปรู้จักความเรียบง่ายของชีวิต โดยเฉพาะในแง่ของความตาย การโลดแล่นในสิ่งที่ดูน่าสะอิดสะเอียน โศกเศร้า และโหยหา หากนั่นก็เป็นความธรรมดาของชีวิต ไม่ต่างกับชีวิตของนักลงทุนที่เราอาจจะไม่ได้ต้องการอะไรแปลกใหม่มากนัก

     นักลงทุนอาจจะไม่ได้ต้องการบริษัทนวัตกรรมชั้นเลิศ บริษัทแอพพลิเคชันเปลี่ยนโลก หรือบริษัทปัญญาประดิษฐ์สุดแสนอลังการ เราอาจจะแค่มองหาบริษัทธรรมดาและแสนน่าเบื่อที่มีความงดงามบางอย่างซ่อนอยู่

     ไม่ว่าจะตลาดหุ้นหรือชีวิต สิ่งที่เรามองหาอาจเป็นแค่สิ่งธรรมดาสามัญ