Tue 29 Dec 2020

NICE TO MEET ME

ทำความรู้จักตัวเราเอง โดยการโบกมือทักทาย ตามด้วยชุดคำถามว่า เป็นไงบ้าง สบายดีมั้ย วันนี้รู้สึกอะไรบ้าง กันเถอะ : )

ภาพ: erdy

     เรารู้สึกวุ่นวาย กังวลใจ เลยต้องมาเขียน เพราะอย่างน้อยก็ได้ระบายมันออกมา 

     เราไม่รู้จะจัดการความรู้สึกแบบนี้ยังไงดี เราเกิดคำถามว่ากดดันตัวเองเกินไปไหม เคยคิดจะไปหาหมอบ้างไหม เริ่มรู้สึกไม่ดีเลย จะหาอะไรมาฮีลมันก็ช่างยากเหลือเกิน อยากอยู่เงียบๆ บ่นให้สักคนฟัง แต่ก็ไม่รู้จะพูดไปทำไม เราค่อนข้างกลัวคนอื่นคิดมาก แต่ก็นั่นแหละเลยคุยกับตัวเอง แล้วค่อยตอบคำถามบางอย่างด้วยตัวเอง 

     เราไม่ชอบการถูกควบคุม แต่ถ้ามันไม่คุมเราก็ไม่ไหว เราอยากตะโกนออกไปดังๆ เรารู้สึกว่าตัวเองอาจไม่ถึงขั้นหนักสุด แต่เราเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยมาก เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่เด็กที่โตแล้วเท่านั้นแหละ เรายังไม่ใช่ผู้ใหญ่ตามวัยที่ควรเป็นขนาดนั้น เราไม่เคยได้อะไรที่ต้องการเลย ซึ่งจริงๆ เราก็ไม่ได้ถึงกับทุกข์เพราะอยากได้สิ่งเหล่านั้นมากนะ คือเราแค่อยากมีความสุขจริงๆ บ้าง ตอนนี้มันเหมือนเดี๋ยวก็สุขเดี๋ยวก็เศร้า ยิ้มก็ยิ้มได้แบบไม่เต็มร้อย เรารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เก่งอะไรเลย เราอยากเก่ง อยากเป็นเหมือนคนอื่นบ้าง แต่เราก็ได้ทำเฉพาะแบบที่เราเป็น 

     ที่จริงเราแค่อยากหาที่ที่ตะโกนได้จริงๆ เพราะตอนนี้มันอัดแน่นเกินไปแล้ว มากจนเราอยากจะร้องไห้ ทำยังไงดี ทุกครั้งที่เราไม่ไหว ซึ่งเราก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าไม่ไหวเรื่องอะไร หรือเป็นยังไง ไม่สามารถตอบคำถามตัวเองได้จริงๆ  แต่เราก็ไม่อยากให้คนอื่นต้องมากังวลใจกับเรา สุดท้ายเราก็จะกลับมาคิดได้ว่าเราหาทางออกเก่ง เราก็จะหาทางเองแล้วกัน อย่างตอนนี้เรารู้สึกว่า free write ก็ช่วยได้นิดหน่อยนะ

     สิ่งที่เราอยากบอกตัวเองคือ คุณตัวฉันที่ฉันกำลังพูดคุยด้วย นายเก่งที่สุดในแบบของนายแล้ว นายไม่ได้แย่ แค่นายแข่งกับเขาในแบบของเขาไม่ได้ เพราะนายเก่งในแบบของนายนั่นแหละ เราเชื่อมั่น เราโคตรชอบ และเราดีใจ ที่นายเป็นนายแบบนี้ นายอย่าไปเป็นคนอื่นเพราะถ้าแบบนั้นนายจะไม่เก่งอะไรเลย จงมั่นใจในตัวเองมากๆ นะ จงหาทางที่มีความสุขในการใช้ชีวิต โคตรรักตัวนายเลย เราจะหาเวลามาพูดคุยบ่อยๆ นะ ตัวเรา

966

     สวัสดีครับคุณ 966 จากที่อ่านดู เหมือนกำลังถูกปัญหาโจมตีจากทุกทิศทุกทางเลยนะครับ อีกทั้งยังดูเหมือนไม่รู้ว่าจะสู้กลับหรือจะหาทางหนีทีไล่อย่างไรดี ซึ่งผมหวังว่าสิ่งที่จะแนะนำต่อไปนี้น่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง

     จากที่อ่าน ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้สึกอัดอั้นและบีบคั้นมากๆ จนตัวเองรับไม่ไหว แต่ก็ตอบไม่ได้และบอกไม่ถูกว่ามันเป็นเพราะเรื่องอะไรกันแน่ พออยากพูดหรือปรึกษาใครก็ไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่ ผมว่าสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเรื่องนี้ คือเราต้องรู้ก่อนว่ามันคือเรื่องอะไร เราต้องตอบตัวเองให้ได้ แต่ถ้าคุณคิดว่าจะทำอย่างไรล่ะก็ในเมื่อคิดไม่ออกว่ามันคือเรื่องอะไร ผมว่าคุณอาจต้องลองหาเวลา หาที่สงบๆ แล้วนั่งทบทวนตัวเองดู หรือถ้ามีหลายเรื่องที่พันกันยุ่งเหยิงไปหมด การเขียนออกมาเป็นข้อๆ ก็ช่วยได้นะครับ ลองตั้งคำถามกับตัวเองดูว่า ‘ตอนนี้มีเรื่องไหนที่กระทบความรู้สึกของเราบ้าง’ จากนั้นเรียงลำดับว่าเรื่องไหนกระทบความรู้สึกของคุณมากที่สุด เพราะบางทีถ้าเรารู้ว่ามันคือเรื่องอะไร ก็อาจจะช่วยให้เรามีทิศทางจัดการกับมันชัดเจนขึ้นได้ครับ

     ส่วนเรื่องการระบายความรู้สึกที่ไม่กล้าระบายกับคนอื่น เพราะเกรงใจหรือกลัวเขาคิดมากนั้น ผมว่าหลายคนก็คงมีความรู้สึกนี้ โดยธรรมชาติแล้วคนเราแตกต่างกันครับ มีทั้งคนที่ฟังแล้วคิดมากจริงๆ แต่คนที่ฟังแล้วไม่คิดมากก็มีเช่นกัน ผมเข้าใจว่าคนที่คุณมองหาน่าจะต้องเป็นคนที่ ‘รับฟังโดยไม่เก็บไปคิดมาก’ ดังนั้นลองมองหาคนที่มีลักษณะใกล้เคียงที่สุดดู เมื่อเจอแล้วลองคุยกับเขาว่าเรามีปัญหา เราอยากระบาย ช่วยรับฟังได้มั้ย หรือถ้ามองหาคนที่สนิทแล้วยังไม่พบใคร สร้างขึ้นมาก็ได้ครับ ลองมองหาหรือสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ อาจเป็นคนที่ไม่เคยรู้จัก รู้จักแต่ไม่สนิท หรือเคยสนิทแต่ตอนนี้ไม่สนิทแล้วก็ได้ แล้วค่อยๆ สังเกตดูว่าเขาจะเป็นคนนั้นให้เราได้มั้ย

     ผมเคยดูแลเคสที่มีปัญหาคล้ายกับคุณเจ้าของเรื่องเหมือนกัน ทางออกของเขาคืออะไรรู้มั้ยครับ…ไปนั่งระบายกับบาร์เทนเดอร์ครับ ซึ่งเป็นคนที่เขาไม่เคยคิดว่าจะคุยด้วย แต่พอลองคุยดูแล้วมันเวิร์กมาก ดังนั้น ลองมองหาคนนั้นของตัวเองดูครับ อาจเสียเวลาสักหน่อย แต่ถ้าได้คนที่จะรับฟังเราเพิ่มขึ้นมาก็น่าลองนะครับ  

     อีกอย่าง ถ้าคุณยังรู้สึกว่าลำบากใจเกินไป การไปหาหมอหรือนักจิตวิทยาก็เป็นอีกทางเลือกนะครับ หลายๆ คนมองว่าการไปหาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเป็นเรื่องแปลก คนไม่ปกติเท่านั้นแหละที่ไปหา ซึ่งความคิดเหล่านี้มันผิดไปจากความเป็นจริงมาก การไปหาหมอ/นักจิตวิทยาไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เราอาจจะคิดว่าไม่มีคนปกติที่ไหนหรอกที่ไปหาหมอ จริงๆ แล้วมีนะครับ คนปกติไปหาหมอ/นักจิตวิทยากันเยอะแยะ 

     ดังนั้น ถ้าไม่มีใคร พวกหมอ/นักจิตวิทยาเขาพร้อมจะช่วยคุณ ยินดีรับฟังทุกเรื่อง เพราะเป็นสิ่งที่เขาทำมาตลอด พวกเขาฝึกทักษะการฟังมาเป็นอย่างดี รวมถึงมีการแนะนำวิธีการจัดการความคิด และความรู้สึกของตัวเองด้วย คุณไม่ต้องห่วงหรือเกรงใจว่าเขาจะคิดมากเลย ระบายได้เต็มที่ครับ  

     อีกประเด็นที่ผมจับได้จากจดหมายของคุณคือ หนึ่ง—รู้สึกเหมือนยังไม่โตสักที ยังเป็นเด็กอยู่ตลอด และสอง—รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นเมื่อเทียบกับคนอื่น

     ผมว่าสองเรื่องนี้มันอาจจะเชื่อมโยงกันในแง่ที่ว่าพอมองตัวเองไม่เก่ง มองว่าทำไม่ได้แบบเขา ทำให้พลอยคิดต่อว่าเราไม่โตสักที จริงๆ แล้วไม่ผิดเลยที่เราจะรู้สึกแบบนั้น แต่ผมอยากให้คุณลองทบทวนชีวิตเขาและชีวิตเราดีๆ อีกครั้งครับว่ามีอะไรที่เหมือนและต่างกันบ้าง เพราะเราอาจหลงลืมว่าเรากับเขามีปัจจัยหลายอย่างที่ต่างกันมากๆ จนมองข้ามจุดนี้ไป

     ผมไม่ได้หมายถึงให้คุณใช้ชีวิตหยุดอยู่กับที่และพอใจกับสิ่งที่มีอยู่เพราะเรากับเขาต่างกันนะ แต่หากเรามองว่าสิ่งที่มีอยู่มันไม่น่าพอใจนัก มาลองตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนขึ้นกันดีมั้ยครับ เปลี่ยนจากความคิดที่ว่า ‘เรายังไม่มีแบบเขา’ เป็น ‘เราอยากมี…’ โดยที่ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร และเริ่มคิดว่าจะทำยังไงได้บ้างเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น หรือถ้าเราทำคนเดียวไม่ได้ มีใครช่วยเราได้บ้าง

     อีกอย่างที่ผมอยากชวนให้ปรับคือ จากที่บอกตัวเองว่า ‘เราไม่เก่ง’ เป็น ‘เรามีความคิดว่าเราไม่เก่ง’ ไอ้ก้อนความไม่เก่งนี้มันไม่ใช่ตัวตนเรา มันเป็นแค่ความคิดเท่านั้น หรือจะเปลี่ยนเป็น ‘เราเป็นคนธรรมดาที่มีข้อจำกัดในเรื่อง…’ เพราะการตัดสินว่าอะไรคือเก่งหรือไม่เก่ง มันเป็นการคิดแบบ all-or-nothing มีแค่ขาวหรือดำ ไม่มีเทาครับ หากเราทำสิ่งนี้ได้ไม่ดีแต่ก็ยังมีเรื่องอื่นที่เราทำได้ดีนี่นา อีกทั้งมันเป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์เราจะมีข้อจำกัดต่างกันครับ แต่ถ้าอยากทำลายข้อจำกัดนี้และพัฒนาตัวเอง มาลองวางเป้าหมายดูนะ : )

     จริงๆ แล้วผมว่าชีวิตคนเราเปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะถ้าดูกันอย่างละเอียด ไม่มีใครเหมือนใครเลย ดังนั้นการจะเอาใครมาทาบวัดกับตัวเองแล้วบอกว่าเราแย่กว่า ผมว่ามันเป็นการวัดแบบหยาบๆ เป็นเหมือนการทดลองวิทยาศาสตร์ที่ไม่ควบคุมตัวแปรแล้วผลมันจะน่าเชื่อถือได้อย่างไร… เส้นทางคนเราไม่เหมือนกัน เราต่างก็มีทางเดินของตัวเอง 

     เหมือนอย่างที่คุณบอกแหละครับ

     ‘นายเก่งที่สุดในแบบของนายแล้ว นายไม่ได้แย่ เราโคตรชอบ และเราดีใจ ที่นายเป็นนายแบบนี้’