Fri 06 May 2022

SWISH AND FLICK

‘อิมเมจ สุธิตา’ กับความผูกพันต่อจักรวาลแฮร์รี่ พอตเตอร์

     “ในชีวิตมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเราสามอย่าง คือแมว เทย์เลอร์ สวิฟต์ แล้วก็จักรวาล แฮร์รี่ พอตเตอร์

     หากคุณกดติดตาม ‘อิมเมจ—สุธิตา ชนะชัยสุวรรณ’ ในช่องทางต่างๆ บนโลกออนไลน์ นอกจากการโปรโมต Your Song เพลงใหม่ล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกมาเมื่อเดือนมีนาคม ภาพเธอบนบิลบอร์ดยักษ์ใหญ่ใจกลางนิวยอร์กจากแคมเปญ Spotify EQUAL อีกหนึ่งสิ่งที่คุณอาจสังเกตได้ (แบบเรา) คือความหลงใหลในโลกเวทมนตร์ที่ดูจะไม่ธรรมดาของเธอ

     พอเห็นแบบนี้ก็รู้สึกได้เลยว่าอิมเมจจะต้องเป็นพอตเตอร์เฮด (Potterhead ชื่อแฟนด้อม แฮร์รี่ พอตเตอร์) เหมือนกันอย่างแน่นอน เราจึงรีบส่งไปรษณีย์นกฮูกชวนเธอมาพูดคุยกัน และเธอก็ตอบรับอย่างรวดเร็ว! สมแล้วที่เป็นชาวผู้วิเศษ

     โชคไม่ดีนักที่ช่วงนี้ฮอกวอตส์ยังไม่ปลอดภัย พวกเราเลยอดไปชิตแชตจิบบัตเตอร์เบียร์กันที่ร้านไม้กวาดสามอัน แต่ต้องมานั่งโบกไม้กายสิทธิ์กันหน้าคอมพิวเตอร์แทน 

     เอาล่ะ นับ หนึ่ง สอง สาม ร่ายคาถา แล้วไปตะลุยโลกเวทมนตร์ด้วยกัน

เห็นอิมเมจบอกว่าชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก แล้วชอบอ่านหนังสือด้วยมั้ย

     ชอบค่ะ ตอนเด็กๆ เริ่มอ่านจากพวกตระกูลหนูนิด หนูนิดไม่อยากไปโรงเรียน, หนูนิดไม่อยากกินผัก แล้วก็ชอบอ่านหนังสือ 9 บาทเล่มเล็กๆ ของนานมีบุ๊คส์ ด้วยความที่ราคาถูกเราเลยซื้อหลายเล่มได้ ในเรื่องความรู้มันดีนะ แต่ขนาดมันเล็กมากจนต้องเพ่ง อีกอย่างคือเราชอบอ่านบนรถ อ่านในห้องน้ำ หรืออ่านในที่ที่แสงไม่พอ เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้สายตาสั้น (หัวเราะ) 

     แล้วเราก็ชอบซื้อหนังสือความรู้รอบตัวที่อัพเดตปีต่อปี อารมณ์ว่าปีนี้อะไรเป็นมรดกโลก หรือสถิติโลกกินเนสส์บุ๊กมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง

พอเริ่มโตขึ้นมายังชอบอ่านอยู่หรือเปล่า

     ตอน ม.ปลายเราเข้าชมรม English Literature เรียนอาทิตย์ละหนึ่งชั่วโมง เขาจะสั่งให้ไปอ่านหนังสือแล้วมาคุยกัน เทอมนึงจะได้อ่านสองเล่ม ก็จะมี To Kill a Mockingbird, 1984, Animal Farm แล้วก็ Of Mice And Men 

     สำหรับเราในตอนนั้นคือยากมาก แถมยังมีการสอบด้วย ซึ่งเป็นข้อเขียนหมดเลย เขาจะไม่ถามว่าหนังสือเรื่องนี้แต่งปีอะไร ฟาร์มชื่ออะไร แต่จะเป็นความรู้สึกตอนอ่านบทที่ 1 จบว่าเป็นยังไง ซึ่งหนังสือพวกนี้มันเป็น metaphor (อุปมา) หมดเลย อย่าง Animal Farm ตอนนั้นใครจะไปรู้ว่าเกี่ยวกับการเมือง ก็รู้แค่ว่าสโนว์บอลดูเป็นหมูที่น่ารัก (หัวเราะ) 

     ถ้าเป็นเราในตอนนี้ได้เข้าคลาสแบบนั้นอีก เราว่าน่าจะสนุกนะ คือเราคุยกับคนไม่ค่อยเก่ง แต่ถ้าคุยกันผ่านหนังสือเนี่ย น่าสนใจเลย

อิมเมจชอบอ่านหนังสือแนวไหน

     ชอบแนวจิตวิทยา-ปรัชญา เล่มที่ชอบก็มี The Science of Love and Betrayal (Robin Dunbar เขียน) เกี่ยวกับคำถามว่าทำไมคนเรารักกันแล้วถึงหักหลัง นอกใจ หรือทำไม่ดีต่อกัน เล่มนี้ทำให้สนใจและไปอ่าน Attachment Theory (Thais Gibson เขียน) หนังสือที่อธิบายถึงทฤษฎีความผูกพัน การถูกเลี้ยงดูและเติบโตมาจากครอบครัวแต่ละแบบ ซึ่งกลายเป็นตัวกำหนดรูปแบบความสัมพันธ์ในอนาคตของเรา อย่าง Secure ก็คือโตมาอย่างอบอุ่นเลยจะทำให้มั่นใจในเรื่องความรัก Avoidant คือโตมาแบบไม่ได้รับความรักอย่างเต็มที่ เลยทำให้ไม่ต้องการความรัก ปิดตัวเอง สุดท้ายคือ Anxious โตมาแบบได้รับความรักบ้าง ถูกละเลยบ้าง ก็จะกลายเป็นคนไม่มั่นคง กลัวคนอื่นไม่รักอยู่เสมอ

     ถ้าเป็นนิยายเราชอบ Every Day (David Levithan เขียน) เรื่องของคนที่จะตื่นขึ้นมาในร่างที่ไม่ซ้ำกันเลย เหมือนถูกเอาไปทำเป็นหนังด้วย เล่มนี้อ่านตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น เป็น hopeless romantic ตอนนี้กลับมาอ่านก็ยังชอบอยู่ รู้สึกว่าเราได้อะไรลึกขึ้นจากการอ่านหนังสือเล่มเดิมในวัยที่เปลี่ยนไป 

     แต่หนังสือชุดเดียวที่อ่านหลายรอบจริงๆ คือ แฮร์รี่ พอตเตอร์ อ่านจาก 1 ไป 7 อ่านจาก 7 ไป 1 อยู่ดีๆ จะเลือกอ่านเล่มไหนตอนไหนก็ได้ มีหยุดอ่านไปช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย แต่ก่อนหน้านั้นคืออ่านยาว พอจบก็กลับมาอ่านต่อ เหมือนเราแค่หยุดไปเพราะต้องเรียนเฉยๆ 

อิมเมจเริ่มอ่าน แฮร์รี่ฯ ตั้งแต่อายุเท่าไหร่

     จำไม่ได้เลยแฮะ น่าจะสัก 9-10 ขวบ แต่จำได้ว่าทันช่วงที่รอเล่ม 7 ออก 

ชอบเวอร์ชั่นหนังหรือหนังสือมากกว่า

     เลือกไม่ได้ ชอบหมดเลย ยกตัวอย่างเช่น The Godfather เราบอกได้เลยว่าหนังทำไว้ดีมาก มู้ดดีมาก แต่พอมาอ่านหนังสือแล้วรู้สึกว่ามันดีกว่าอีก เลยไม่รู้ว่าเป็นเพราะดูหนังมาก่อน เรามีภาพตัวละครในหัว แล้วค่อยมาอ่านหนังสือที่ละเอียดขึ้น มันเลยยิ่งส่งเสริมกันหรือเปล่า

     แต่ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ภาค 1-4 เราดูหนังก่อน ส่วน 5-7 อ่านหนังสือก่อน เราไม่มีสตอรี่ 5-7 อยู่ในหัว เรามีแต่ภาพนักแสดงที่เดี๋ยวจะโตขึ้นอีกในทุกภาค พอไปดูมันเหมือไฮบริด เพราะครึ่งเรื่องแรกเราดูก่อนอ่าน ส่วนครึ่งเรื่องหลังเราอ่านก่อนดู มันทำให้เราไม่รู้จะ expect อะไรจากหนังและหนังสือ เราแค่เอนจอยกับประสบการณ์

อ่านตอนเด็กกับตอนโตมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างมั้ย

     ตอนเด็กอ่านแล้วเราก็จะตื่นเต้นกับเวทมนตร์ มีผู้วิเศษ มีไม้กายสิทธิ์ แต่ว่าด้วยความที่เราอ่านมาตลอด อ่านมาเรื่อยๆ ไอ้ความรู้สึกที่ว่าต่างไปมั้ย มันไม่ชัดแน่นอน เหมือนเราเห็นตัวเองทุกวัน หน้าบวมขึ้นทีละนิดๆ จนวันหนึ่ง เอ้า มีคางสองชั้นแล้ว มันเป็นแบบนั้นมากกว่า ไม่ใช่ทุกครั้งที่อ่านจะรู้สึกเปลี่ยนไป มันค่อยๆ เปลี่ยนจนวันนึงเราเห็นมุมนี้ 

     พอเข้าช่วงวัยรุ่น เราชอบทั้งหนังและหนังสือภาค 3 เพราะมันเป็น coming of age เป็นภาคที่ตัวหนังเริ่มมืดและเข้าสู่วัยรุ่น มันพอดีกับวัยตอนที่เราอ่าน แล้วชอบที่สุดคือแฮร์รี่ได้เจอซีเรียส แบล็ก ซึ่งเราชอบแกรี โอลด์แมน (Gary Oldman) ที่เป็นนักแสดงด้วย ซีเรียสเป็นคนในครอบครัวคนเดียวที่แฮรรี่มีอยู่ และไม่ชอบที่สุดคือภาค 5 (หัวเราะ) เขาตายได้ยังไงอะ มาแป๊บเดียวเอง ซีนน้อยมากกกก

     พอเราอายุขึ้นเลขสอง ก็เริ่มเข้าใจตัวละคร เช่น เดรโก มัลฟอย ที่ตอนแรกเรารู้สึกว่าเขาเป็นคนชอบบูลลี่ ซึ่งไม่ได้แปลว่าเขาไม่บูลลี่แล้วนะ แต่เราได้รู้ที่มาที่ไปว่าทำไมเขาเป็นคนแบบนี้ ทำให้เห็นว่าเขาโดนกดดันมากๆ ตั้งแต่เด็ก จากพ่อที่ไม่มี affection เลย ออกแนวเอาเงินฟาดหัวลูกด้วยซ้ำ กับแม่ที่โคตรตามใจ หรือโวลเดอมอร์ ที่เราเข้าใจว่าเขาไม่เข้าใจความรักเลย แล้วเขาต้องหาสิ่งอื่นมาทดแทน เช่น อำนาจหรือการมีคนหวาดกลัวยำเกรง มันก็เชื่อมโยงกลับไปที่เนื้อหาของ Attachment Theory ได้เหมือนกัน 

อยากรู้ว่าที่อ่านมาสิบกว่าปี ชอบอะไรในจักรวาลเวทมนตร์

     ในชีวิตมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเราสามอย่าง คือแมว เทย์เลอร์ สวิฟต์ แล้วก็จักรวาลแฮร์รี่ พอตเตอร์ 

     เรารู้สึกว่าจักรวาลนี้มันไม่เคยหยุด มันมีทฤษฎีต่างๆ มีแฟนฟิกชั่น มีมีมใหม่ๆ อัพเดตทุกวัน มีเกมโชว์ มีรายการต่างๆ แล้วคนก็ยังสนับสนุนนักแสดงอยู่ตลอด แม้พวกเขาจะจบกับ แฮร์รี่ฯ ไปตั้งนานแล้ว แต่เราก็ยังอยากซัพพอร์ตเขาอยู่ เพราะว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราโตมา มันเป็นความผูกพันอย่างนึง

สามอันดับตัวละครที่ชอบที่สุดใน แฮร์รี่ฯ

     เอาเป็นสามช่วงแล้วกัน ช่วงเด็กเราชอบดัมเบิลดอร์ คือเราสนิทกับยาย รู้สึกว่าคนแก่ใจดี แล้วดัมเบิลดอร์ก็คล้ายๆ กัน คือเป็นคนแก่ ใจดี ฉลาด แล้วก็ดูมีความอบอุ่น ดัมเบิลดอร์ในภาค 1-2 เป็นคนละคนกับภาค 3-7 เพราะริชาร์ด แฮร์ริส (Richard Harris) เสียไปก่อน ไม่ใช่คนหลังไม่ดีนะ แต่เราแค่ติดภาพคนแรก รู้สึกว่าดวงตาเขาดูมิ้บๆๆๆ (หัวเราะ) แบบดูฉลาด อบอุ่นแต่ยังมีความเป็นเด็ก อีกคนจะดูน่าเกรงขาม ก็เหมาะกับโทนหนัง 

     พอโตมาอีกหน่อยเราชอบซีเรียส แบล็ก เพราะทุกคนที่เป็นวัยรุ่นก็น่าจะมีปัญหากับพ่อแม่บ้าง มันเป็นช่วงวัยอะเนอะ เราก็อยากมีพ่อทูนหัวที่เท่ๆ คูลๆเป็นคนที่ดูสนุก ดูจ๊าบ แล้วเขามาถูกจังหวะกับวัยเราพอดี 

     ต่อมาปีนี้ ชอบเดรโก มัลฟอย เพราะโตเป็นสาวแล้วก็รู้สึกว่า อู้ว เขาหล่อมาตลอดเลย (หัวเราะ) อย่างที่บอกว่าเราเข้าใจตัวละครมากขึ้น ถ้าดัมเบิลดอร์หรือซีเรียสเป็นคนเลี้ยง เดรโกก็จะโตมาอีกแบบนึง สำหรับเราเดรโกเป็นผลลัพธ์ของพ่อแม่ที่มันไม่เวิร์กที่สุดในจักรวาล แฮร์รี่ฯ แต่เราดีใจที่เขารู้ตัวในตอนจบว่าเขาเลือกเองได้ มันอินสไปร์เหมือนกันว่าเราก็เป็นตัวเองได้ ไม่ต้องเดินตามเส้นทางที่พ่อแม่ขีดมาให้เสมอไป

เคยเล่น Pottermore มั้ย ได้อยู่บ้านอะไร

     นี่ๆ (โชว์ผ้าพันคอสลิธีรินแล้วยิ้ม) 

คิดว่าตัวเองเหมาะกับบ้านนี้มั้ย

     คือจริงๆ แล้วเราอยู่สลิธีรินถูกแล้วละ เราไม่ได้กล้าหาญแบบกริฟฟินดอร์ ฮัฟเฟิลพัฟก็ดูเป็นคนขยัน เป็นคน loyal อารมณ์แบบคนดี๊คนดีอะ เราไม่ใช่คนขยันแล้วแน่ๆ ส่วนเรเวนคลอก็คือทั้งชีวิตนี้ไม่เคยได้เกรดสี่เลย เพราะฉะนั้นมันก็เหลือแค่สลิธีริน ซึ่งเราก็มีทางลัดของเราบ้าง แต่เราไม่ได้เป็นคนร้ายหรือเอาเปรียบใคร แต่ลัดได้ก็ลัด

ในฐานะที่อ่านบ่อยมาก มีจุดไหนในเรื่องที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดบ้าง

     ดัมเบิลดอร์เป็นอะไรทำไมไม่พูดตรงๆ (หัวเราะ) เด็กยังอายุไม่ถึง 20 เลยจะคิดเองได้ยังไง ตอนตัวเองอายุเท่านั้นยังไปชอบตัวร้ายเลย 

     อีกคนก็สเนป อันนี้เป็น unpopular opinion มาก เราไม่ชอบตัวละครนี้เลย แต่ชอบอลัน ริกแมน (Alan Rickman) นะ เล่นดีมาก ก็ชื่นชมที่เป็นสปายมาตลอด แต่เราว่าเขาลูสเซอร์มากเลยเรื่องแม่แฮร์รี่ แล้วมาบุลลี่เด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่แค่เพราะหน้าเหมือนคนที่ตัวเองไม่ชอบ ถ้ามันเป็นโลกแห่งความจริง คุณคงต้องโดนไล่ออกไปแล้วนะ

ด้วยความเป็นแฟน แฮร์รี่ฯ ก็น่าจะอยากไป Universal ที่ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา หรืออังกฤษ อิมเมจไปที่ไหนมาหรือยัง

     เคยไปที่ญี่ปุ่นกับลอนดอน ก็รู้สึกฟูลฟิลประมาณนึง แต่เราไปตอนโตแล้ว มันเลยไม่ได้ magical ขนาดนั้น แม้จะโตเกินจุดที่จะจินตนาการว่าเราอยู่ที่นั่นจริงๆ แต่เราก็ยังชอบที่ได้เดินผ่านฮันนี่ดุ๊กส์ ได้ชิมบัตเตอร์เบียร์ ซึ่งขอบอกเลยว่า บัตเตอร์เบียร์ร้อนไม่เวิร์ก เย็นเยี่ยม (หัวเราะ) 

อิมเมจมีหนังสือกี่ปก เป็นสายสะสมมั้ย

     ไม่ได้สะสม เคยมีภาษาไทยชุดนึง แต่ว่าหายไปตอนน้ำท่วม ก็เลยซื้อภาษาอังกฤษ ตอนนี้ขอบเริ่มยับนิดนึงละ เราไม่รวยขนาดที่จะซื้อมาเก็บ แล้วที่ในบ้านก็ไม่พอด้วย แต่เราไม่มีปัญหากับหนังสือเก่านะ รู้สึกว่ามันขลังดี เหมือนมีส่วนหนึ่งของเราอยู่ นิ้วเราไปบาดตรงนี้มันก็มีรอยเป็นของเรา แค่ไม่ได้ฉีกมันก็พอ

งั้นแปลว่าอิมเมจก็เป็นคนที่พาหนังสือไปลุย แบบไม่ต้องกลัวว่าจะยับ

     เราชอบอ่านหนังสือบนเครื่องบิน มันไม่มีอะไรให้ทำ โฟกัสได้เต็มที่ ช่วงก่อนโควิด-19 ก็ได้บินไปเล่นที่ต่างจังหวัดบ่อยๆ ก็พกไปอ่าน

พอช่วงโควิด-19 แล้วอาจจะไม่ได้มีงานให้เล่นมากนัก อิมเมจใช้เวลากับอะไรบ้าง

     อ่านหนังสือ เลี้ยงปลากัด ปลูกต้นไม้ แต่งเพลง แล้วก็เลี้ยงแมว จริงๆ ชอบถ่ายรูปมาก แต่ก็เป็นกิจกรรมที่หายไปเลยพร้อมกับงาน 

อยากรู้ว่าการอ่านหนังสือส่งผลต่อการแต่งเพลงของอิมเมจมั้ย

     ส่งผลนะ เวลาเราอ่านมากๆ ก็จะเริ่มรู้ว่าคำไหนควรอยู่ตรงไหน เรียงประโยคยังไงให้สวยขึ้น แต่ว่าเราไม่ค่อยได้อ่านภาษาไทย ภาษาไทยเป็นจุดอ่อนของเราเลย แล้วเพลงไทยแต่งยาก เพราะว่ามีวรรณยุกต์ แล้วมันจะเพี้ยนเป็นเสียงเหน่อ ภาษาอังกฤษมันเหน่อได้ ภาษาไทยมันเหน่อไม่ค่อยได้ มันจะฟังแล้วขัดหูมากกว่า

แต่เพลงล่าสุดอย่าง Your Song ก็แต่งเอง

     ใช่ๆ เพลงนี้แต่งจากเรื่องของตัวเอง เลยไม่ค่อยยาก

แล้วเพลงนี้ตั้งต้นจากภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก่อน

     ปกติจะจดเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย แต่เพลงนี้เริ่มเป็นภาษาไทย เพราะความรู้สึกตอนนั้นมันพุ่งออกมาแล้วจบในตัวเองด้วยประโยคเดียว คือ ‘วันนี้แค่บังเอิญได้ยินเพลงนั้น’

เริ่มทำเพลงเองตั้งแต่เมื่อไหร่

     เริ่มแต่งเพลงแรกตอน ม.3 เพราะมีเทย์เลอร์ สวิฟต์ เป็นแรงบันดาลใจ ตอนนั้นชอบเพื่อนคนนึงเลยเอามาแต่งเป็นเพลง แล้วก็ไม่นานมานี้เพิ่งดู แฮร์รี่ฯ ภาค 6 อีกรอบ เราแต่งเพลงในมุมมองของเดรโกไว้ด้วย น่าจะเอาไปรวมในอัลบั้มใหม่ที่จะปล่อยช่วงปลายปี 

ก่อนจะจากกันไป ขอแอบถามถึงความเห็นของอิมเมจต่อทัศนคติของ เจ.เค. โรวลิง (J.K. Rowling) สักหน่อยได้มั้ย

     ได้เลย เราว่ามันเห็นตรงกันทั่วโลก คือเขาเป็นนักเขียนที่ดี แต่ว่าทัศนคติเขาไม่ค่อยดี ที่ไม่ซื้อหนังสืออีกชุดก็เพราะลำบากใจที่จะสนับสนุนเขาต่อด้วยทัศนคติแบบนี้ แต่จะให้เราเลิกดู เลิกชอบ เลิกพูดถึง แฮร์รี่ฯ ไปเลยมันก็ไม่ได้ เลยต้องทำใจว่าเราจะไม่ซื้อ ไม่สนับสนุนอะไรเพิ่มแล้ว 

ในอนาคตอยากเห็นอะไรต่อถ้าเขาจะสร้างเพิ่มขึ้นมา

     เราโอเคถ้าเขาจะมีส่วนต่อขยายแบบ Fantastic Beasts แต่อย่ามายุ่งอะไรกับ แฮร์รี่ พอตเตอร์ บางคนบอกอยากได้ แฮร์รี่ฯ เป็นซีรีส์ที่สามารถเล่ารายละเอียดทั้งหมดของหนังสือได้ แต่เราว่าตอนนี้มันก็เป็นมากกว่าหนังแล้ว นักแสดงเขาเกิดมาเพื่อบทนี้ ไม่ได้แปลว่าเขาจะเล่นบทอื่นไม่ได้ แต่คนอื่นก็มาเล่นแทนเขาไม่ได้ด้วย มันเป็นแบบนั้นไปแล้ว

     แต่ถ้าจะทำต่อขยายแบบเจาะลึกวัยเด็กของโวลเดอมอร์ หรือเล่าเรื่องแก๊งแผนที่ตัวกวน คือเยี่ยม ดีเลย