Thu 25 Jan 2024

NOOHIN IN THE BEGINNING

บทสนทนาว่าด้วยการ์ตูนเล่มละบาท ความเป็นอีสาน และเรื่องราวก่อนเป็น ‘หนูหิ่น’ กับ ‘พี่เอ๊าะ ขายหัวเราะ’

เรื่อง: A. Piriyapokanon

     เอ๊าะ—ผดุง ไกรศรี เป็นคนอำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี ที่เขียนรูปเป็นก่อนเขียนหนังสือ

     เอ๊าะเริ่มวาดรูปลงบนพื้นดิน ขีดเขียนกำแพงบ้าน วาดมุมกระดาษหนังสือเรียน จนกระทั่งจบการศึกษาจากภาควิชาวิจิตรศิลป์ โรงเรียนเพาะช่าง และก้าวเข้าสู่วงการนักวาดการ์ตูนเต็มตัว ไม่ว่าจะเป็นเซ็กซี่ตูน การ์ตูนแก๊ก การ์ตูนอีสาน ขึ้นอยู่กับว่าคุณเริ่มอ่านงานของเขาในช่วงไหน

     แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้นักอ่านชาวไทยรู้จักกับชื่อ ‘เอ๊าะ ขายหัวเราะ’ คือ ‘หนูหิ่น’ คาแรกเตอร์สาวอีสานตัวเล็ก ไว้ผมบ๊อบสั้น ใส่ผ้าถุง ผู้เข้ามาเป็นผู้จัดการบ้านให้ ‘คุณมิลค์’ สาวไฮโซชาวบางกอกน้อย

     ในโอกาสครบรอบ 50 ปีของ ขายหัวเราะ เราเลยชวนพี่เอ๊าะมาพูดคุยถึงเรื่องราวชีวิตตั้งแต่เริ่มจับปากกาวาดรูป สู่นักเขียนการ์ตูนเล่มละบาท จนถึงวันที่หนูหิ่นกลายเป็นหนึ่งในตัวแทนป๊อปคัลเจอร์อีสาน และเป็นหนังสือการ์ตูนสามัญประจำบ้านของใครหลายๆ คน

I
การ์ตูนญี่ปุ่น

พี่เอ๊าะเริ่มวาดการ์ตูนตั้งแต่ตอนไหน

     ผมเขียนรูปเป็นก่อนเขียนหนังสืออีกนะ ช่วง 3-4 ขวบเริ่มเขียนรูปตามพื้นดิน เอาถ่านเขียนผนังบ้าน  เป็นรูปเฮลิคอปเตอร์บ้าง รูปนก รูปแมลงบ้าง วาดสิ่งรอบตัวที่เราเห็นแล้วประทับใจ 

     พอเข้าชั้นประถมศึกษา เวลาทำการบ้านส่งครูก็จะวาดรูปที่มุมหนังสือแล้วกรีดให้เคลื่อนไหวได้ พอครูเห็นเข้าก็ขู่ว่าจะฟ้องพ่อแม่ให้จัดการ ผมก็บอกครูว่าไม่เป็นไรครับ ฟ้องเลย เพราะพ่อแม่ไม่เคยว่า

เขียนผนังบ้านก็ไม่ว่าเหรอ

     ไม่ว่าเลย ที่วาดรูปได้เก่งก็เพราะแม่สนับสนุน เขาเห็นเราอยากทำอะไรก็ให้ทำ ผมเลยเป็นคนแรกในครอบครัวที่ได้เรียนศิลปะ พี่ชายไปเรียนทหาร ตำรวจ พี่สาวเรียนพยาบาล แต่เราชอบวาดรูปมากตั้งแต่เด็ก แม่ก็อนุญาต ชอบวาดรูปก็วาด วาดผนังก็ไม่ว่า

ฝั่งครูหรือโรงเรียนสนับสนุนบ้างไหม

     ตอนเรียนประถมไม่ค่อยมีใครสนับสนุน อาจจะเป็นเพราะผมมาก่อนกาล (หัวเราะ) ครูดุว่าอายุแค่นี้ทำไมเขียนรูปผู้หญิงเซ็กซี่ ก็เพราะเราไปเอาต้นแบบจากดาราเซ็กซี่ฮอลลิวูด ซึ่งผมไม่ได้มองว่าโป๊ไง มันเป็นศิลปะ

     แต่พอถึงเวลาหาตัวแทนโรงเรียนไปประกวดวาดภาพวันศึกษาประชาบาล ครูก็ไม่ให้ผมไป ทั้งๆ ที่ผมเก่งที่สุดในโรงเรียนแล้วนะ แต่เขาเอาคนอื่นไปวาดรูปวิวทิวทัศน์ประกวดแทน เพราะกลัวเราไปวาดรูปโป๊

ถ้าวันนั้นได้เป็นตัวแทน จะวาดรูปโป๊จริงๆ ไหม

     ก็… คิดจะวาดรูปผู้หญิงสวยๆ อาจจะเป็นชุดว่ายน้ำ…

แล้วเพื่อนที่ครูส่งไปแทนเราชนะรึเปล่า

     ไม่ รู้สึกว่าจะได้ที่สาม (หัวเราะ)

พูดถึงตอนเด็ก พี่เอ๊าะมีการ์ตูนเรื่องไหนที่เป็นเรื่องโปรดบ้าง

     ถ้าตั้งแต่เด็กเลยคือ ไอ้มดแดง กับ กาโม่ พอขึ้นชั้นมัธยมศึกษา ผมอ่าน ไออิกับมาโกโตะ โตมาอีกหน่อยจะเป็นงานของ ‘เรียวอิจิ อิเคงามิ’ (Ryoichi Ikegami) แล้วก็ ‘คัตสึฮิโระ โอโตโมะ’ (Katsuhiro Otomo) ที่เขียนเรื่อง อากิระ คนไม่ใช่คน ที่จริงเรื่อง คำสาปฟาโรห์ ที่ยาวๆ ผมก็ซื้อไว้อ่านนะ ทุกวันนี้ไม่รู้จบหรือยัง

     ผมเป็นเด็กการ์ตูนญี่ปุ่น อ่านมังงะมาตั้งแต่เด็กเลย ถ้านับรวมทั้งหมดที่ซื้อเก็บไว้น่าจะเป็นพันเล่ม พอโตขึ้น หาเงินมาได้ ผมจะแบ่ง 500-1,000 บาทของแต่ละเดือนมาซื้อหนังสือ แต่ช่วงน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 โดนท่วมไปประมาณ 300 เล่ม น้ำตาไหลเลย

มังงะมีอิทธิพลกับการเขียนการ์ตูนของพี่เอ๊าะบ้างไหม

     มีอย่างมาก ถ้าสังเกตดีๆ หนูหิ่นเองก็คือการ์ตูนญี่ปุ่นที่พยายามใส่ความเป็นไทยเข้าไป ที่ผมชอบมากอีกคนคือ ‘อากิระ โทริยามะ’ (Akira Toriyama) ที่เขียน ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล ผมเอา ‘ครูมิโดริ’ ครูของอาราเลมาเป็นหุ่นต้นแบบให้กับ ‘คุณมิลค์’ ตั้งแต่อยู่ในการ์ตูนสามช่องก่อนจะเขียนหนูหิ่น

แปลว่าหนูหิ่นก็มีส่วนของการ์ตูนญี่ปุ่นอยู่

     เยอะเลยด้วย คือใจเรารักการอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น ก็เลยค่อยๆ เอามาผสมกับงานตัวเอง

นอกจากการ์ตูนญี่ปุ่นแล้ว พี่เอ๊าะมีใครเป็นแรงบันดาลใจในเส้นทางนักวาดอีก

     อาจารย์โชคชัย ตักโพธิ์ เป็นอาจารย์ระดับตัวท็อปของโรงเรียนเพาะช่าง แกมาก่อนกาลจริงๆ นะ เก่งที่สุดของเพาะช่างรุ่นนั้น แต่เขาเลือกที่จะมาสอนที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี ซึ่งเป็นจังหวะพอดีกับที่ผมเข้าไปเรียน

     อาจารย์จะเชิญศิลปินที่ดังๆ มาจากกรุงเทพฯ สอนเข้มข้นมาก สอนหมดทุกอย่าง ตอนรุ่นผมจบ ปวส.จากที่นี่ก็สอบเข้าโรงเรียนเพาะช่างกันได้หมด พอไปเรียนเพาะช่างจริงๆ เหมือนไปเรียนซ้ำกับ ปวส.ด้วยซ้ำไป เพราะอาจารย์โชคชัยสอนมาหมดแล้ว

II
การ์ตูนแก๊ก

พี่เอ๊าะจำได้ไหมว่าการ์ตูนเรื่องแรกสุดที่เขียนไปเสนอสำนักพิมพ์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร

     เรื่องแรกสุดผมเขียนแนวบู๊ไปขายนะ แต่เขาไม่ซื้อ (หัวเราะ) ก็เลยเขียนไปอีกเรื่องนึง เป็นแนวฟันดาบ เขาก็ไม่ซื้ออีก แต่ครั้งนี้เขาแนะนำให้เขียนเรื่องที่มีต้นสายปลายเหตุหน่อย ไม่ใช่โผล่มาหยิบดาบฟันกัน จบแล้วคนชนะก็เดินจากไป คนตายก็นอน แบบนี้ไม่ได้

     ผมก็โอเค เขียนเล่มที่สามไปขายอีก คราวนี้เป็นแนวผี เปลี่ยนแนวเลย เนื้อเรื่องคือมีแก๊งโจร งานการไม่ทำ หาเงินด้วยการปล้น ไอ้พวกนี้ปล้นแม้กระทั่งเณรที่คอยถือย่ามให้พระ แต่พอปล้นแล้วเห็นว่าเณรจำหน้าพวกมันได้…

ก็เลยฆ่าเณร?

     ใช่ แล้วเณรก็กลายเป็นผี ตามมาจัดการโจรทีละคน

จำชื่อเรื่องได้ไหม

     ผีเณรน้อย ถ้าจำไม่ผิดนะ

แล้วเขาซื้อไหมคะ…

     รอบนี้เขาซื้อ เพราะแนวผีมันขายอยู่ได้อยู่แล้ว

พี่เอ๊าะเริ่มเขียนการ์ตูนเป็นอาชีพตั้งนั้นเป็นต้นมาเลยหรือเปล่า

     จริงๆ ตั้งแต่เข้า ปวส. ปี 1 ก็เริ่มวาดการ์ตูนเล่มละบาทขายแล้ว หาเงินซื้อสี ซื้อกระดาษไว้เรียน สมัยนั้นขายค่าลิขสิทธิ์ได้อาทิตย์ละ 500 บาท ก็ถือว่าเยอะนะ ไปขายแถวตึกบรรลือสาส์นนี่แหละ

     พอขึ้นปี 2 ก็มีรุ่นพี่ชวนไปทำนิตยสารรายสัปดาห์ แนะนำให้เราเขียนนิยายภาพ ช่วงนั้นก็เริ่มมีชื่อเสียงในกลุ่มนักเขียนด้วยกัน

     จบออกมา ก็เขียนการ์ตูนเป็นจริงเป็นจัง เขียนภาพประกอบ จนได้มาเขียนให้ บ้านเด็ก กับพี่โอม รัชเวทย์ คนเขียนเรื่อง คุณทองแดง จนปี 2535 ผมก็แยกจากพี่โอมมาเริ่มทำที่บรรลือสาส์น

     ที่จริงก่อนมาทำกับพี่โอม ประมาณปี 2532 ผมเคยมาสมัครที่บรรลือสาส์นแล้วครั้งนึงนะ โดยพี่เตรียม ชาชุมพร คนเขียนภาพประกอบ มานะ มานี ปิติ ชูใจ พามา เพราะแกเป็นนักเขียนเก่าของที่นี่ พอมาเจอ บ.ก.วิธิต เขาก็บอกว่ารู้จักผมอยู่แล้วจากการ์ตูน กึ๋นฮา

แต่ตอนนั้นยังไม่ได้ร่วมงานกัน

     ยัง เพราะตอนนั้นการ์ตูนคุณมิลค์ที่ผมวาดมานำเสนอจะตัวสูง รูปร่างสมส่วนหน่อย ส่วนตัวประกอบอย่างหนูหิ่นจะสูงแค่เอว บ.ก.วิธิตเห็นแล้วก็บอกว่าต้องปรับปรุงนะ เพราะลายเส้นผมไม่เหมือนการ์ตูนขายหัวเราะเลย ไม่ผ่าน อ้าว! ไม่ผ่านผมก็ไม่ขาย ไม่แก้ด้วย ผมเอาไปขายให้ที่อื่น เขาก็ซื้อ ผมเลยรับเป็นจ๊อบพิเศษไป แล้วถึงได้ไปอยู่กับพี่โอม

วนกลับมาเจอกับบรรลือสาส์นอีกทีได้ยังไง

     เจอกันอีกทีเพราะผมมาเขียนหนังสือเด็กให้อีกหัวนึง ซึ่งน้องสาวของ บ.ก.วิธิตเป็นคนทำ ระหว่างนั้นพี่หมู สุชาติ พรหมรุ่งโรจน์ คนเขียน สามก๊ก ก็มาชวนไปเขียนการ์ตูนตลกให้ฝั่ง ขายหัวเราะ มหาสนุก ด้วย

แล้วคดีเก่ากับ บ.ก.วิธิตล่ะ

     ก็ไม่มีอะไรครับ สมัยก่อนผมอีโก้จัดเฉยๆ (หัวเราะ) ตอนนี้ผมโอเค ยังไงก็ได้ เพราะเราก็โตขึ้นด้วย รู้จักจูนเข้าหากัน จะมัวแต่ติสท์บริโภคก็คงไม่ได้

     พอ บ.ก.วิธิตบอกให้เขียนเรื่องสั้น ผมก็เลยเขียนเรื่องคุณมิลค์กับหนูหิ่นไปเสนอใหม่ ด้วยตัวละครคุณมิลค์สูงชะลูด หนูหิ่นตัวเท่าเอวเหมือนเดิมนี่แหละ แต่คราวนี้ บ.ก.วิธิตบอกว่าจัดเลย อยากเขียนอะไรเขียนมา ปล่อยฟรี โชคดีตรงที่ว่าเขียนเล่มแรกปั๊บ ก็ปังปุ๊บเลย

III
การ์ตูนอีสาน

จุดเริ่มต้นของหนูหิ่นมาจากไหน

     ผมเขียนการ์ตูนแก๊กมาก่อน ตัวละครคุณมิลค์เนี่ยมีอยู่แล้ว ส่วนหนูหิ่นมาจากแก๊กเกี่ยวกับครอบครัวของผมเอง มีคุณนายหกเหลี่ยม มีลูกสองคน พลอยสวย เพชรใส ในเรื่องนั้นก็จะมีหนูหิ่นเป็นแม่บ้าน

     เมื่อก่อนทั้งสองเรื่องจะอยู่ในรูปแบบสามช่องจบ พอ บ.ก.วิธิตให้มาเขียนเรื่องสั้น ผมก็เลยเอาเรื่องหนูหิ่น เด็กซื่อสัตย์ ดื้อๆ ซนๆ กับนายจ้างไฮโซเสนอไป ก็คือเอาตัวการ์ตูนที่มีชื่อเสียงแล้วนั่นล่ะมาแมตช์กัน แล้วก็คิดพล็อตเรื่องขึ้นมา

     ตัวละครหนูหิ่นผมเอามาจากมังงะ ถึงจะเห่ยแต่ก็สู้นะเฟ้ย ของ ฮิเดโอะ มุราตะ (Hideo Murata) เป็นเรื่องนักมวยที่มาเรียนมวยไทยแล้วกลับไปต่อสู้ที่ญี่ปุ่น 

เป็นความตั้งใจของพี่เอ๊าะด้วยหรือเปล่าที่อยากนำเสนอความเป็นอีสานผ่านหนูหิ่น

     ทีแรกบุคลิกหนูหิ่นยังไม่ชัดเท่าไหร่ เอาแค่ว่าเป็นคนอีสาน ซื่อสัตย์ เป็นคนล้นๆ อยู่ตลอด มาเริ่มชัดตอนที่มีแฟนการ์ตูนเขียนมาถามว่าหนูหิ่นเป็นคนที่ไหน มีตัวจริงหรือเปล่า เราก็เลยต้องไปหารายละเอียดมาเพิ่ม

     จริงๆ หนูหิ่นก็เอามาจากบุคลิกผมนี่ล่ะ พอเขียนแล้วผลตอบรับดี ผมเลยเขียน หนูหิ่นวาไรตี้ เป็นเรื่องราวของหนูหิ่นในวัยเด็ก ซึ่งผมก็จะเขียนเรื่องศิลปะ วัฒนธรรม แล้วก็วิถีชีวิตของคนอีสาน

     ผมมีภาพจำสมัยเด็กว่าเห็นแม่เดินเข้าไปในป่า แป๊บเดียวกลับมาพร้อมเห็ดเต็มตะกร้า ก็เอาภาพจำพวกนั้นมาเขียนเรื่องแกงเห็ด ไปหาเห็ดยังไง แกงใส่อะไร บางทีก็ไปหากุ๊ดจี่ แมงจีนูน เล่าเรื่องที่อยู่ในใจเรา 

     นักอ่านบางคนก็เขียนจดหมายมาบอกว่าอ่านการ์ตูนพี่แล้วหนูร้องไห้ เพราะไม่ได้กลับบ้านมา 6 ปี พออ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงแม่ หนูกลับปีนั้นเลย โอ้โห ที่เราเขียนนี่มันเป็นแรงบันดาลใจขนาดนั้นเลยเหรอ ประทับใจมาก

รู้สึกยังไงเวลามีคนบอกว่าหนูหิ่นเป็นตัวแทนของความอีสาน

     ไม่ได้คิดอะไรขนาดนั้นหรอก ตอนเขียนก็เขียนเพราะสนุก เราอยากถ่ายทอด มันเหมือนได้เล่าเรื่องของตัวเองไปด้วย แต่เผอิญไปถูกจริตคน เหมือนกับหนังเรื่อง แฟนฉัน ที่พูดถึงอดีตน่ะ เฮ้ย เพลงนี้เราเคยเจอ หนังเรื่องนี้เราเคยดู พอเรามาเล่าเรื่องประเพณีอีสาน ไปแห่กัณฑ์หลอน ไปจุดบั้งไฟ ไปหน้าฮ้านหมอลำ มันมีอยู่จริง เลยเหมือนกับเราไปพูดเรื่องของคนอ่านด้วย

     พอถูกจริต เรากับคนอ่านก็เลยสนิทกัน แล้วเขาก็ไม่ได้อ่านฟรีนะ เขาก็ต้องล้วงเงินจากกระเป๋ามาซื้อ แต่เขาคิดว่ามันเป็นความสุขทางใจ เพราะฉะนั้นผมเลยรู้สึกว่าเรานี่เจ๋งนะ คนที่เขียนการ์ตูนแล้วคนยอมจกเงินจากกระเป๋ามาซื้อนี่เจ๋งจริง

สิ่งที่หยิบมาเล่าส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องในวัยเด็กของพี่เอ๊าะเองด้วยใช่ไหม

     ถ้าเป็น หนูหิ่นวาไรตี้ จะเป็นเรื่องราวในวัยเด็กของผมเลย แต่ถ้าเป็นหนูหิ่นภาคปัจจุบัน จะหยิบเหตุการณ์หรือเรื่องที่เป็นกระแสมาเขียนล้อ เวลาขึ้นตอนใหม่หนูหิ่นจะร้องเพลง จะบอกได้เลยว่าตอนนั้นเพลงอะไรกำลังฮิตอยู่ มีนักศึกษาเคยเอาไปทำเป็นวิทยานิพนธ์เลยนะ เขาบอกว่าการ์ตูนผมมันบอกยุคบอกสมัย บอกได้เลยว่าช่วงปีนั้นๆ เกิดอะไรขึ้นบ้าง

เคยคิดไหมว่าวันนึงการ์ตูนเราจะดังขนาดได้มาทำ Live Action คนแสดง

     ไม่เคยคิดหรอก ตอน บ.ก.วิธิตมาบอกว่าจะได้ทำเป็นหนังแล้วนะ ดีใจไหม ผมไม่พูดสักคำเลย ไม่รู้จะแสดงออกยังไง

ก็เลยตอบไปว่า

     ครับ…

     มันคิดไม่ทันน่ะ

นอกจากหนูหิ่นแล้วมีงานชิ้นไหนที่ประทับใจเป็นพิเศษอีกหรือเปล่า

     หนูหิ่นคือที่สุดแล้ว แต่ถ้าเรื่องอื่นก็จะเป็นการวาดภาพปก เป็นวิจิตรศิลป์ เพราะเราเรียนสายนี้มา มันคือวิชาชีพเรา ยิ่งถ้าดาราคนไหนได้ขึ้นหน้าปกหนูหิ่นนะ เขากรี๊ดเลย

พอพูดถึงดารา ทำให้คิดขึ้นมาได้ว่าช่วงนี้มีสื่อบันเทิงเล่าประเด็นความอีสานเยอะขึ้นมาก ความเป็นอีสานของพี่เอ๊าะแตกต่างกับคนอื่นยังไง

     ในช่วงปี 2538 ผมคิดว่าผมเป็นคนแรกที่เขียนการ์ตูนด้วยภาษาถิ่นอีสาน แล้วก็มีดอกจันแปลซับไตเติลให้ด้วย เรื่องหนูหิ่นก็อาศัยบุคลิกคนอีสานว่ามาจากบ้านนอก ซื่อๆ เปิ่นๆ มันต้องมีจุดขายให้ตัวละครเราน่ะ

     ส่วนการที่ผมเขียนรูปลักษณ์ว่าเป็นคนหน้าหัก ดั้งแหมบ ผมต้องการพูดว่าคนเราทุกคนมีความน่ารัก มีความสดใสอยู่ในตัว หนูหิ่นเองก็มีมุมเก๊กสวยได้เหมือนกัน แต่ถ้าถามว่าอะไรเป็นสิ่งที่น่ารักที่สุดของหนูหิ่น ก็คือนิสัยนั่นแหละ

ที่มาคู่กันกับสื่อบันเทิงเกี่ยวกับความอีสาน คือช่วงที่ผ่านมามีกระแสล้อเลียนคนอีสานด้วย

     คำพูดในเชิงเหยียด บูลลี่ มันไม่ขำเลยครับ บางทีก็ไม่เข้าใจว่าพูดเพื่ออะไร อย่างคำว่าเสี่ยว คนพูดไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสี่ยวจริงๆ คืออะไร ไปแปลว่าเชย แปลว่าทุเรศกัน ซึ่งคำว่าเสี่ยวจริงๆ แล้วหมายถึงเพื่อนรัก เพื่อนผูกเสี่ยวกันคือตายแทนกันได้ จะเรียกว่าเสี่ยวฮักเสี่ยวแพง เสี่ยวไม่ได้แปลว่าเชย

เป็นคำที่พี่เอ๊าะรับไม่ได้ที่สุดแล้ว

     ก็ถ้าเห็นใครเอาคำนั้นไปใช้เหยียดคนอื่น หรือว่าใช้เพื่อเป็นมุกตลกเนี่ย ความนับถือจากผมก็คือจบกัน คือคุณไม่ได้ตลกเลย

พูดถึงเรื่องความเป็นผู้หญิงบ้าง ในฐานะที่พี่เอ๊าะชอบวาดเซ็กซี่ตูน คิดว่าจุดเหมาะสมของงานคืออะไร

     ทุกวันนี้ต้องคิดเยอะขึ้นมาก เรื่องสิทธิสตรี ความเท่าเทียม ก็ต้องให้เกียรติ ซึ่งบ้านผมมีแต่ผู้หญิง มีภรรยา แม่ พี่สาว น้องสาว มีลูกสาว 2 คน เพราะฉะนั้นเรื่องการดูถูกผู้หญิงนี่จะไม่มีเลย

แก๊กหรือมุกตลกที่เหยียดหรือกดขี่ผู้หญิงก็มั่นใจว่าไม่มี

     ไม่มี มุกผู้ชายไปทำร้ายผู้หญิงอะไรแบบนี้ คือในชีวิตจริงผมก็ไม่ทำอยู่แล้ว จะไม่เขียนเรื่องผู้ชายทำร้ายผู้หญิง มันไม่เคยสนุก

มุกที่ส่อไปทางเรื่องเพศก็ไม่มีเช่นกัน

     ตั้งแต่เขียนการ์ตูนมา หนูหิ่นจะไม่มีมุกกอดจูบลูบไล้ สัมผัสต้องตัวกัน ไปค้นดูได้ บางคนคิดว่าผมเขียนการ์ตูนโป๊เหรอเห็นเขียนคุณมิลค์นมใหญ่ คือมันคนละส่วนกัน ผมเขียนให้เขาเป็นคนเซ็กซี่ แต่ต้องไม่เขียนเนื้อหาโป๊เปลือย

     อีกอย่างคือลูกอ่านการ์ตูนของผมทุกเล่ม เราก็ต้องคิดถึงลูก คิดถึงคนในครอบครัว คิดถึงญาติพี่น้องด้วย ผมนี่ผู้ชายคุณธรรมนะเนี่ย (หัวเราะ) 

     ให้ท้าไหม ใครเคยเห็นผมเขียนโป๊แบบกอดจูบลูบคลำนี่ ผมยอมออกจากวงการเลย เพราะผมไม่ทำจริงๆ

IV
การ์ตูนของทุกคน

หนึ่งวันในการทำงานช่วงนี้พี่เอ๊าะทำอะไรบ้าง

     ส่วนใหญ่ผมทำงานตอนกลางคืน ถึงตี 2-3 แล้วก็นอน ตื่นอีกที 7-8 โมง มากกว่านี้ผมนอนไม่หลับ ช่วงที่มีเร่งๆ ก็จะทำกลางวันบ้าง อย่างช่วงนี้ก็ทำกลางวันอยู่นะ

ใช้เวลาประมาณกี่ชั่วโมงต่อวันในการวาด

     ทุกวันนี้ไม่เยอะแล้ว ประมาณ 7-8 ชั่วโมง

นี่ก็เต็มเวลาแล้วนะคะ…

     เมื่อก่อนวาดอย่างน้อย 15 ชั่วโมง นั่งวาดไป ใครซื้ออาหารมาให้ต้องแกะใส่ถ้วยไว้รอ คือแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย ส้มถ้าไม่ปอกให้ก็ไม่กิน (หัวเราะ)

เขียน 8 หรือ 15 ชั่วโมงต่อวัน มีวันไหนที่หมดมุกบ้างไหม

     มุกตันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเราเขียนแก๊ก ต้องใช้ความคิดตลอด ไฟลนก้นนี่เป็นเรื่องธรรมดามาก

แล้วทำยังไงเวลาหมดมุก

     ก็ทำอย่างอื่นไป ดูหนัง ฟังเพลง ส่วนใหญ่ผมวาดรูปเล่น

งานหลักก็วาดรูป งานอดิเรกก็วาดรูปอีกเหรอ

     ครับ…

ทำงานมา 30 กว่าปี จุดมุ่งหมายสูงสุดของพี่เอ๊าะคืออะไร

     สำหรับนักเขียนมันมีอยู่ไม่กี่อย่างหรอก หนึ่งคือให้ความบันเทิง สองคือ อยากให้คนอ่านหนังสือเราเยอะๆ เพราะฉะนั้น เราต้องสมมติตัวเองเป็นเชฟคนหนึ่ง ต้องมีเมนูเด่น หนูหิ่นเปรียบเสมือนอาหารอีสาน คุณมิลค์เปรียบเสมือนอาหารอิตาลี เราจะทำยังไงให้อาหารสองแนวมาแมตช์กันได้

     อีกอย่างนึงคือคนที่มาอุดหนุนหนังสือเขาช่วยแนะนำ บางคนก็มาเล่าเรื่องชีวิตเขาให้ฟัง ผมก็เขียนให้นะ เราต้องเป็นคนของเขา เขาก็เป็นเพื่อนของเรา เป็นญาติเรา หนูหิ่นวาไรตี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าไม่มีแฟนๆ การ์ตูน

แค่อยากให้คนอ่านมีความสุข

     ใช่ แค่นั้นล่ะ ให้เขายิ้มได้ ซื้อเล่มเดียวอ่านได้เป็นสิบเที่ยว มันคุ้มจริงๆ ซื้อมาแค่ไม่กี่บาท ตกเที่ยวหนึ่งไม่กี่สตางค์เอง

     แล้วการ์ตูนหนูหิ่นนี่ก็อ่านง่าย ไม่ต้องปีนบันไดอ่าน ไม่ต้องไปปรัชญาอะไรมาก เขียนให้คนสามัญชนนี่ล่ะ แล้วก็ไม่ต้องมาคิดมาก อยากวิจารณ์ก็ได้ เพราะเราเขียนให้คนส่วนใหญ่อ่าน ให้คนที่เหนื่อยจากชีวิต คนที่อยากได้ความบันเทิงอ่าน ดูราคาหนังสือเราสิ ขายหัวเราะ มหาสนุก ของเราทำมาขายให้ใครล่ะ เราไม่ได้ขายให้ชนชั้นสูง เราขายให้คนธรรมดาทั่วประเทศ

ตอนนี้ถือว่าตัวเองบรรลุเป้าหมายหรือยัง

     บางคนก็บอกว่าอย่างผมนี่ประสบความสำเร็จแล้ว ได้ทำเป็นหนัง เป็นนักเขียนการ์ตูนที่มีรายได้ 6 หลัก โอ้โห พอๆ กับนายกฯ เลยนะนั่น (หัวเราะ) แต่ผมมองว่าเรื่องนี้มันเป็นแค่รางวัลตอบแทน มีเงินไปซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ซื้อทาง

     แต่ส่วนที่แฮปปี้ที่สุดคือมีคนอ่านหนังสือเรา ผมเขียนอะไรไปเขาก็ชอบหมด มีนักอ่านเอาการ์ตูนเล่มแรกๆ ผมไปประมูลขายกันด้วยนะ นี่คือส่วนประสบความสำเร็จ เราก็แฮปปี้แล้ว หายเหนื่อย

ในอนาคตอีก 5-10 ปี พี่เอ๊าะอยากทำอะไร

     ถ้าไม่ได้เขียนการ์ตูนแล้วก็คงวาดรูปเล่น

แต่ยังไม่มีแผนเกษียณ

     ยังหรอก ถ้าคนยังต้องการให้เขียนผมก็เขียน แต่ถ้าไม่มีคนอ่านแล้วผมก็วาดรูป หรือไม่ก็งานศิลปะที่เกี่ยวกับการ์ตูน แบบที่เมืองนอกเขาเรียกกันว่าป๊อปอาร์ตน่ะ

     ผมไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง ขอแค่โลกนี้ยังมีการ์ตูนอยู่ ผมก็ยังมีทางไป