Tue 23 Feb 2021

A TALK TO WILD DOG

คุยกับ ‘บุรินทร์ฑร ตันตระกูล’ เจ้าของร้านหนังสืออิสระในขอนแก่น ที่รู้ว่าการขายหนังสือช่างสิ้นหวัง แต่ก็เป็นสิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุด

     โอ๊บ—บุรินทร์ฑร ตันตระกูล นอนในร้านหนังสือ

     เขาเป็นคนสตูล จบคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำงานเป็นนิติกรอยู่หลายปี หนีไปบวชวัดป่าที่สุรินทร์ และตัดสินใจกลับไปเรียนต่อปริญญาโท เขาเรียนไม่จบ ชายหนุ่มในวัยสามสิบตอนปลายพบว่าชีวิตเต็มไปด้วยคำถาม เขาลาออกจากงานประจำที่มั่นคงอีกครั้งในปี 2560 พยายามหาคำตอบข้างในด้วยการขับรถตระเวนไปทั่วภาคอีสาน ก่อนจะพบว่าตัวเองใช้เวลาอยู่ขอนแก่นนานที่สุด

     ในปี 2562 เขาเปิดร้านหนังสืออิสระ ‘Wild Dog Bookshop’ อยู่ใกล้กับโรงเรียนแห่งหนึ่งที่นั่น เปิดได้สักพัก “รู้สึกเหมือนเราเป็นสิ่งแปลกปลอมของเมือง” เขาว่าอย่างนั้น หยุดร้านไปหลายเดือน มีความคิดจะเลิกล้ม แต่ก็ได้เจอห้องแถวเปิดให้เช่าในทำเลของร้านปัจจุบัน หลังเรือนจำกลางจังหวัดขอนแก่น Wild Dog Bookshop มีชีวิตที่สองที่นั่น ส่วนโอ๊บเช่าบ้านไว้ไม่ไกลจากร้าน เขาใช้มันสำหรับเก็บของและกลับไปอาบน้ำ ชีวิตส่วนใหญ่เขาอยู่ที่ร้านหนังสือ เฝ้าร้านทั้งวัน

     และใช่, เขานอนที่นั่น

     เหมือนกับเรื่องราวอีกหลายสิบหลายร้อยที่ได้เห็นจากบทความออนไลน์หรือในรายการโทรทัศน์—คนหนุ่มผู้ละทิ้งความมั่นคงของชีวิตมาค้นหาตัวเอง ก่อนจะพบเส้นทางเดินที่แท้ และทำมันจนลุล่วง… จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เว้นก็แต่ว่าโอ๊บบอกว่าสิ่งที่เขาทำยังห่างไกลความสำเร็จ

     และใช่, กับธุรกิจที่อยู่ในช่วงขาลงสุดๆ และดูไร้ความหวังอย่างการเปิดร้านหนังสือ เรื่องต่อจากนี้ไม่โรแมนติกเท่าใดนัก

     “อาจมองว่าเพ้อฝันก็ได้ ผมคิดอยู่แต่แรกแล้วว่าขายหนังสือมันเป็นธุรกิจที่ทำกำไรยาก แต่นั่นล่ะ ผมเป็นคนสิ้นหวังมาตลอดอยู่แล้ว ขายหนังสือก็สิ้นหวัง แต่หลังจากทำงานมาหลายอย่าง นี่คือสิ่งที่ผมอยากทำที่สุด” โอ๊บกล่าว

     ชั้นหนังสือเรียงรายด้วยวรรณกรรมร่วมสมัย บทกวี หนังสือปรัชญา ไปจนถึงสังคมศาสตร์หลายร้อยเล่ม ม้านั่งยาวรอรถไฟ โต๊ะไม้สำหรับนั่งอ่านหนังสือ โปสต์การ์ดวาดมือ ชาร้อน และแมวสองตัวที่ชื่อมิและมอมแมม (โอ๊บเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ตอนอยู่ร้านเก่า) ในห้องแถวที่โอ๊บแบ่งเช่ากับเพื่อนผู้ทำร้านอาหารตามสั่งอยู่ด้านหน้า ผมสนทนากับเขาว่าด้วยชีวิต แพสชั่น และวิธีจัดการกับความสิ้นหวังของคนขายหนังสือ

คุณเรียนจบและทำงานในสายนิติศาสตร์ต่อเนื่องมาเป็นสิบปี เคยย้อนกลับมาตั้งคำถามว่าคุณคิดสั้นไปไหมที่เททุกอย่างเพื่อมาเปิดร้านหนังสือ 

     จริงๆ ผมพบปัญหากับการวางเป้าหมายของชีวิตมาตั้งแต่เรียนจบ ก็เดินไปตามขั้นตอน สอบตั๋วทนาย ไปเรียนต่อเนติบัณฑิต ทำงานเป็นนิติกรอยู่ในระบบราชการ ซึ่งผมไม่มีความสุขเลย ถามตัวเองตลอดว่าทำอะไรอยู่ จนตอนอายุยี่สิบปลายๆ ตัดสินใจไม่ไปสอบเนฯ ลาออกจากงานประจำ และไปบวชอยู่วัดที่สุรินทร์เพื่อจะทบทวนตัวเอง สึกออกมา ลองหันไปทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งงานมันโอเคกับเรากว่าที่เก่า แต่ช่วงนั้นก็ทำงานและใช้ชีวิตหนักมาก จนป่วยเข้าโรงพยาบาล จากนั้นก็ไปสมัครเรียนปริญญาโท แต่เรียนได้ไม่นาน ก็พบว่าไม่ใช่อีก จึงลาออกมา คำถามใหม่ๆ เกี่ยวกับชีวิตมันผุดขึ้นมาเรื่อยๆ จนตัดสินใจเปิดร้านหนังสือนี่แหละ 

     ถามว่าคิดสั้นไหม จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่ถ้าทำร้านหนังสือแล้วมันพอเลี้ยงตัวเองได้ ผมก็คิดว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีกว่า

คุณมีความคิดจะเปิดร้านหนังสือตั้งแต่เมื่อไหร่

     ช่วงเรียนปริญญาโทที่ธรรมศาสตร์ พอตัดสินใจว่าจะลาออก ก็ตั้งคำถามว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี ตอนแรกคิดว่าจะไปบวชอีกรอบ แต่พอได้อ่านหนังสือเยอะก็พบว่าศาสนาไม่ใช่ทางออกสำหรับผมอีกแล้ว อันนี้ต้องยกเครดิตให้หอสมุดธรรมศาสตร์ คือก่อนหน้านี้ผมจะอ่านหนังสือเฉพาะสาขาที่เรียน อ่านงานวิชาการ และก็อ่านงานสังคมศาสตร์บ้าง รวมถึงหนังสือเกี่ยวกับการเดินป่าซึ่งผมสนใจ แต่ช่วงที่กำลังสับสนในชีวิต ผมมาหอสมุดฯ และอ่านหนังสือหลากหลายมาก จนถึงจุดที่ผมมานั่งประเมินชีวิตตัวเอง ก็พบคำตอบว่ามีอาชีพเดียวที่ทำให้เราได้อ่านหนังสือที่อยากอ่านได้ทั้งวัน คือการเปิดร้านหนังสือนี่แหละ

คุณเริ่มต้นอย่างไร

     ร้านแรกที่ผมไปคือร้านหนังสือเดินทางของพี่หนุ่ม (อำนาจ รัตนมณี) ผมไปหาบทความมาอ่านด้วยว่าพี่หนุ่มเริ่มต้นทำร้านยังไง แล้วก็ตามไปฟังเขาพูดในวงเสวนาต่างๆ ผมคิดถึงการเปิดร้านหนังสืออิสระในต่างจังหวัดก็เลยขับรถไปร้านหนังสือที่เขาเปิดอยู่แล้วดูว่าเขายืนระยะกันได้ยังไง ก็เริ่มจากลงภาคใต้ก่อน ไปดูทั้ง ‘ร้านหนังสือบูคู’ ที่ปัตตานี ‘ความกดอากาศต่ำ’ ที่สตูล แล้วกลับมากรุงเทพฯ ปักหลักอยู่ที่นั่นก่อน แล้วก็เดินทางไปจังหวัดอื่นๆ ไปดูทำเลหลายๆ ที่ ตอนแรกมองภาคเหนือกับภาคอีสานไว้ แต่ภาคเหนือการเดินทางไปหากันในแต่ละจังหวัดค่อนข้างลำบาก ก็เลยมาอีสาน ไปดูมาหมดทั้งอีสานเหนือ อีสานใต้

ทำไมต้องเป็นขอนแก่น

     ผมพบว่าภูมิศาสตร์ของขอนแก่นค่อนข้างดี เป็นเมืองคนทำงานและเป็นเมืองการศึกษา ที่สำคัญมันเชื่อมกันหมดทั้งอีสานเหนือและอีสานใต้ ตอนมาดูทำเลเปิดร้านในภาคอีสาน ผมก็มาตั้งหลักด้วยการเช่าหออยู่ที่ขอนแก่น ซึ่งก็พบว่าไม่ต้องไปไหนหรอก ขอนแก่นเหมาะสมสุดแล้ว ตอนนั้นขอนแก่นยังไม่มีร้านหนังสืออิสระด้วย ผมก็อาศัยเดินไปทั่วเมืองเลย จนมาเจออาคารไม้สองชั้นสามคูหาตรงหัวมุมหลังโรงเรียนกัลยาณวัตรปล่อยเช่าอยู่ อาคารเก่ามากแล้ว ชั้นบนนี่อยู่ไม่ได้เลยเพราะปลวกกิน เราก็เลยรีโนเวตแค่ชั้นล่าง ติดต่อสายส่งกับสำนักพิมพ์เพื่อเอาหนังสือมาขาย ตั้งใจว่าจะใช้พื้นที่ร้านสำหรับจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน-เขียน ส่วนกาแฟค่อยทำทีหลัง

คุณเริ่มทำร้านหนังสือที่ขอนแก่นโดยไม่รู้จักใครเลยหรือ?

     ครับ ผมไม่เคยมาอยู่ที่นี่ ไม่มีเพื่อนที่นี่เลย ก็ค่อยมามีตอนหลัง ที่ผมตั้งชื่อร้านว่า Wild Dog ส่วนหนึ่งก็เพราะรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวของตัวเองด้วย

แล้วพอเปิดร้าน ทุกอย่างเป็นอย่างที่คิดไว้ไหม

     ช่วงแรกๆ คนไม่กล้าเข้าครับ แต่พอเปิดๆ ไปก็เริ่มมีเด็กนักเรียนกับผู้ปกครองนี่แหละเป็นลูกค้าหลัก มีเด็กนักเรียนมานั่งอ่านหนังสือที่ร้าน บางคนอยากได้ แต่ไม่มีเงินก็ขอเราผ่อนอาทิตย์ละหนึ่งร้อยบาทได้ไหม ซึ่งผมก็ยินดีมากๆ 

     แต่พอเปิดไปสักพัก ก็พบว่าลูกค้าไม่ได้เยอะอย่างที่คาดไว้ อาจเพราะผมประเมินจากร้านหนังสือเดินทางซึ่งเปิดอยู่กรุงเทพฯ ที่มีคนเข้าออกตลอดเวลา พอหนังสือหมุนเวียนก็บริหารจัดการได้ แต่ที่ขอนแก่นบางช่วงก็เงียบมากๆ และความที่ร้านมันอยู่ในอาคารเก่า เพดานต่ำๆ จึงดูหมองๆ ซึ่งพอร้านมันเงียบก็ให้ความรู้สึกเหมือนพิพิธภัณฑ์เก่าๆ  ผมก็เลยตัดสินใจปิดร้านไปเป็นเดือนๆ เลย ตอนนั้นรู้สึกท้อแท้และเศร้าหมอง เหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอมของเมือง สุดท้ายพอกลับมาเปิดอีกครั้ง ทำต่อไปได้สักพักก็พบว่ารายได้ไม่พอรายจ่าย เลยตัดสินใจปิดร้านถาวร 

แต่ยังไม่เข็ด

     จริงๆ ตอนนั้นเศร้ามากเลย แต่จะให้กลับบ้านก็ไม่อยากกลับ เหมือนเราต้องกลับไปแบบสิ้นท่า 

     แต่พอดีมีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งเขามาได้พื้นที่ตรงนี้ ตั้งใจจะเปิดร้านอาหารตามสั่ง ก็มาถามผมว่าสนใจแชร์กับเขาไหม ค่าเช่า 5,000 บาท คนละครึ่งก็ 2,500 บาท ผมคิดว่าค่าเช่าเท่านี้ก็ไหวอยู่ เพราะที่ผ่านมาก็พอขายได้ แค่มันไม่พอค่าเช่าเท่านั้น ที่สำคัญพื้นที่ตรงนี้ก็ดูรับแขกมากกว่า ก็เลยลองอีกที เราเข้ามารีโนเวตเองคนเดียวทั้งหมด เพราะไม่มีเงินจ้างใคร ตีฝ้า ทาสี ติดกระจก ปลูกต้นไม้ ตั้งใจจะทำสวนด้านหลังสำหรับจัดกิจกรรม แล้วร้านก็กลับมาเปิดอีกครั้งในเดือนมิถุนายน 2562

เคยถามตัวเองไหมว่า หรือร้านหนังสือมันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วในยุคสมัยนี้

     คนส่วนใหญ่อาจมองว่าไม่จำเป็นแล้ว แต่ความเป็นจริงก็ยังมีคนเข้าร้านหนังสืออยู่ ผมคิดแต่แรกแล้วว่าธุรกิจนี้มันไม่มีทางทำให้เราร่ำรวยหรือมั่นคงได้ แต่อย่างที่บอกไป ผมทำเพราะอยากทำ นี่เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ชีวิตของผม

ร้านแรกเปิดหลังโรงเรียน ร้านนี้มาเปิดหลังเรือนจำ แล้วลูกค้าร้านใหม่ของคุณเป็นใครบ้าง 

     คนทำงาน แล้วก็ได้คนต่างถิ่นหรือนักท่องเที่ยวที่เขาอ่านรีวิวในอินเทอร์เน็ตแวะเวียนเข้ามา ส่วนนักศึกษาก็มีบ้าง แต่ส่วนใหญ่นักศึกษาจะเข้าร้านอับดุลบุ๊คส์ และร้านหนังสือสมจริงที่อยู่ละแวกมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพราะสะดวกกว่า ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องดีเลย คือพอมีร้านหนังสืออิสระมาเปิดใหม่ที่ขอนแก่น ก็ทำให้ผมคิดว่าเราตัดสินใจไม่ผิด และเราก็ไม่ได้โดดเดี่ยว 

ขายดีขึ้นไหม

     ไม่ได้ขายดีมาก แต่รายได้ก็เพียงพอให้ผมและร้านอยู่ได้ ผมค่อยๆ วางแผนเป็นลำดับ ตอนนี้มีโปสต์การ์ดและของทำมือเล็กๆ น้อยๆ มาขายแล้ว มีชาให้ดื่ม ส่วนกาแฟก็คิดไว้ว่าจะเอามาเสริม อยากให้มันเป็นที่นั่งพักไปด้วย นี่ก็เพิ่งซื้อตู้เย็นมาไม่กี่อาทิตย์เอง ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มนักกิจกรรมมาขอใช้พื้นที่จัดงาน มีเสวนาและมีฉายหนังบ้างแล้ว เป็นแนวโน้มที่ดี เพราะผมก็ตั้งใจให้ร้านเป็นพื้นที่รองรับสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว

ช่วงโควิด-19 ระบาด ขายได้ไหม

     ไม่ได้ครับ ผมไม่ได้ขายออนไลน์ เพราะอยู่ร้านคนเดียวเลยไม่มีเวลา ช่วงที่เมืองถูกล็อกดาวน์ ผมใช้เวลาช่วงนั้นจัดการพื้นที่สวนหลังร้าน เพราะแต่เดิมมันเป็นหลุมขยะลึก 5-6 เมตร ก็เลยสั่งดินมาถม แต่เขาไม่ให้รถไถเข้ามา ก็เลยใช้จอบกับบุ้งกี๋ ทำเองคนเดียว

ไม่คิดจะขายออนไลน์?

     ตอนแรกไม่คิด แต่ตอนนี้คิดแล้ว ก็ต้องจัดสรรเวลาใหม่ เมื่อก่อนผมปิดร้านวันพฤหัสบดีวันเดียว เพราะจะไปดูหนังในโรง ตอนนี้เปลี่ยนมาปิดวันจันทร์กับอังคาร จะได้มีเวลาไปจัดสรรสิ่งอื่นๆ เช่น ส่งหนังสือ หรือไปออกร้านตามอีเวนต์ คัดเลือกหนังสือ โปสต์การ์ด และของที่ระลึกเอามาขาย มีไปขายที่ตลาดต้นตาล ก็พอขายได้บ้าง

แล้วมีแผนทำการตลาดอย่างไร

     ไม่มีครับ คือนอกจากไปออกร้านตามอีเวนต์ เราก็เปิดร้านปกติ ไม่รู้เขาทำกันยังไงด้วย ร้านเราไม่ลดราคาหนังสือด้วยครับ เพราะถ้าลดราคาก็จะไม่มีกำไรเลย เราตั้งใจจะทำให้ร้านหนังสือเป็นพื้นที่ให้คนมาเลือกหนังสือที่ชอบซื้อกลับบ้านไป มาพูดคุย แลกเปลี่ยนกัน ก็จะชวนลูกค้าคุยตลอด พยายามหยอดพวกเขาว่าถ้าว่างๆ มาอ่านหนังสือเป็นเพื่อนกันหน่อยก็ดีนะครับ คือพูดตรงๆ อย่างไม่มีข้ออ้าง เราทำได้เท่านี้น่ะครับ

นอกจากเหตุผลที่ว่าคุณอยากทำร้านหนังสือเพราะอยากทำ มีจุดประสงค์อื่นอีกไหม

     (นิ่งคิด) ผมอยากพิสูจน์ว่าเราทำร้านหนังสืออิสระได้ คือเชื่อว่าถ้าเราตั้งใจทำ ร้านหนังสืออิสระยังไงก็อยู่ได้ ผมก็ไม่รู้ว่าเอาความมั่นใจมาจากไหนเหมือนกัน แต่พอเริ่มลงมือทำ เห็นลูกค้าเข้าร้าน ทั้งขาประจำและขาจร ก็เห็นแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะช่วงหลังๆ ที่คนรุ่นใหม่ตื่นตัวเรื่องการเมืองและการเรียกร้องประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ พวกเขาต่างแสวงหาความรู้ทั้งด้านสังคมศาสตร์ การเมือง และประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะกับขอนแก่น ที่นอกจากร้านหนังสืออิสระ เรายังมีพื้นที่ทางศิลปะที่เชื่อมโยงกับการเมืองเกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมมีความหวังครับ 

ยังมีความรู้สึกเหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอมของเมืองอย่างตอนทำร้านแรกอยู่ไหม

     ก็ไม่เชิงครับ จริงๆ ผมเป็นคนสิ้นหวังมาตลอดอยู่แล้ว เป็นมาตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยจนจบออกมาทำงาน ทุกวันนี้มาขายหนังสือก็ยังสิ้นหวังอยู่ แต่เป็นสิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุด

แล้วทุกวันนี้มีความสุขดีไหม 

     ผมมีภาพฝันว่าตื่นเช้ามาอาบน้ำแต่งตัวหอมๆ มาเปิดร้าน จิบชา และอ่านหนังสือรอลูกค้าเข้าร้าน แต่ชีวิตจริงมันมีอะไรต้องจัดการมากกว่าที่คิดไว้เยอะเลยครับ 

     ถามว่าตอนนี้มีความสุขดีไหม ผมคิดว่าคงจะมีความสุขถ้าเราสามารถจัดการทุกอย่างได้ตามที่เราคิด ทั้งเรื่องการจัดกิจกรรมในร้าน ยอดขาย และเรื่องอื่นๆ ให้ลงตัว ผมก็จะพอมีเวลาอ่านหนังสือระหว่างรอลูกค้าไปโดยไม่ต้องกังวลอะไร แต่สิ่งที่ทำทุกวันนี้ก็เป็นหนทางนำไปสู่ความสุขแบบที่ผมตั้งใจไว้     

ถ้ามองด้วยแว่นของคนทั่วไป ตอนนี้คุณอายุสี่สิบปีแล้ว เคยย้อนคิดถึงความมั่นคงแบบคนอื่นๆ บ้างไหม 

     ความมั่นคงตอนนี้ของผมคือจะทำยังไงให้ร้านหนังสืออยู่รอดครับ ผมโชคดีที่มีแฟนซึ่งเข้าใจเรื่องนี้ แฟนผมทำงานอยู่กรุงเทพฯ และเราต่างเห็นตรงกันว่าคงจะไม่มีลูก ก็ต่างใช้ชีวิตตามทางของตัวเองไป แฟนผมทำงานประจำควบคู่ไปกับวาดภาพประกอบลงโปสต์การ์ด ผมหวังว่าถ้าวันหนึ่งผมทำร้านนี้ให้เป็นหลักได้ ก็จะชวนเขามาเปิดสตูดิโอเล็กๆ ที่นี่ 

     ผมไม่ได้เอาตัวเองไปเทียบกับใคร ดูที่ตัวผมเองคนเดียว จากเดิมที่ชีวิตเต็มไปด้วยคำถามและความสิ้นหวัง พอได้มาเปิดร้าน และค่อยๆ ดูแลมันไป ความสิ้นหวังก็ค่อยๆ ลดลง ผมคิดว่าตัวเองก็เดินมาไกลเหมือนกัน