TOM JAKKRIT
หนังสือที่กำลังอ่านอยู่ แนวหนังสือที่แพ้ ไปจนถึงทำไมเขาถึงเต็มใจเป็นสมาชิกตลอดชีพของชมรมกองดอง
เรื่อง: สุชานาถ กิตติสุรินทร์
ภาพ: ภาพถ่ายจากทางบ้าน
เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จักและคุ้นเคยกับ ‘จักรกฤต โยมพยอม’ หรือ ‘ครูทอม’ ในบทบาทติวเตอร์สอนภาษาไทย แชมป์แฟนพันธุ์แท้สุนทรภู่ นักเขียน และพิธีกรรายการต่างๆ ซึ่งนอกเหนือจากทั้งหมดที่กล่าวไป เมื่อไม่นานมานี้เขายังเพิ่งเปิดสำนักพิมพ์น้องใหม่ชื่อน่ารักอย่าง Avocado Books และตีพิมพ์งานที่น่าสนใจหลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็น มาริสา อายุ 27 ปี 167 เฉพาะกิต และ The Last 10 Years สุดท้ายและตลอดไป
คอลัมน์ ‘BOOKMARKS’ ในวันนี้จึงอยากชวนบรรณาธิการมือใหม่มาคุยเรื่องไลฟ์สไตล์การอ่าน ตั้งแต่หนังสือที่กำลังอ่านอยู่ แนวหนังสือที่แพ้ ไปจนถึงทำไมเขาถึงเต็มใจเป็นสมาชิกตลอดชีพของชมรมกองดอง
แนะนำตัวสักหน่อย ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง
สวัสดีครับ ชื่อจักรกฤต โยมพยอม เรียกว่าทอมก็ได้ครับ หลายคนจะคุ้นกับการเรียกว่าครูทอม แต่ตอนนี้แทบไม่ได้สอนหนังสือแล้วครับ ไม่ค่อยมีเวลาเลย เลิกเรียกครูได้แล้วครับ ฮ่าๆ เวลาคนเรียกว่าครูก็จะเขินๆ นิดนึงครับ
ตอนนี้หลักๆ ก็มีงานแสดงครับ ถ่ายละครเรื่อง บุษบาลุยไฟ ทางช่อง ThaiPBS กับซีรีส์ 609 Bedtime story ที่จะออกอากาศทาง WeTV แล้วก็มีงานพิธีกรรายการ Daily Topics ทางช่อง SpokeDark กับไปร่วมแจมตามรายการออนไลน์ของกัลยาณมิตรครับ ที่ไปบ่อยก็จะเป็นช่องเทพลีลาและช่องยกกำลังครับ
อีกงานคือทำสำนักพิมพ์เล็กๆ มาสนองนี้ดตัวเอง ชื่อว่า Avocado Books ครับ แกล้งๆ เข้าไปส่องและกดสั่งซื้อได้ที่ avocadobooks.com หรือร้านหนังสือทั่วไปทั้งออนไลน์และออฟไลน์นะครับ อะขายของตั้งแต่ต้นเลย
หนังสือที่กำลังอ่านอยู่
ตอนนี้กำลังอ่านเรื่อง หากวันใดคุณหลงทาง จงฟังเสียงที่อยู่ในหัวใจ ของสำนักพิมพ์ Piccolo ครับ เป็นนิยายแปลของญี่ปุ่น เกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่บังเอิญได้เห็นการจูนเปียโนของช่างคนหนึ่ง จึงตัดสินใจไปเรียนเฉพาะทางด้านการจูนเสียงเปียโน พอเรียนจบก็กลับมาทำงานที่บ้านเกิดของตัวเอง อ่านแล้วได้เจอมุมมองชีวิตหลายอย่างที่น่าสนใจครับ
อ่านมาได้เกินครึ่งเล่มแล้วครับ ชอบมากกกก หนังสือทำให้เราตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวตน พรสวรรค์ และเป้าหมายของเรา ซึ่งมันโดนใจอยู่นะครับ ผมเองก็ยังถามตัวเองเรื่อยๆ ว่าสิ่งที่ทำอยู่นี่มันใช่ทางของตัวเองจริงๆ ไหมนะ แต่ก็ตอบตัวเองว่าใช่ไม่ใช่ไม่รู้ แต่รู้ว่าตอนนี้มีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่ ทั้งงานละคร งานพิธีกร และธุรกิจสำนักพิมพ์ครับ
อีกอย่างคือคิดถึงญี่ปุ่นมากครับ ไม่ได้ไปญี่ปุ่นเป็นปีๆ แล้ว อ่านวรรณกรรมญี่ปุ่นก็ช่วยให้หายคิดถึงได้นิดนึง แต่เอาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าช่วยให้หายคิดถึงหรือยิ่งคิดถึง เพราะยิ่งอ่าน ความอยากไปญี่ปุ่นก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครับ
แนวหนังสือที่แพ้ เห็นแล้วต้องซื้อ
โหหหห เยอะเลยครับ ชอบอ่านหลายแนวมาก แต่จุดร่วมอย่างหนึ่งคือหนังสือต้องอ่านสนุกครับ คำว่าสนุกนี่ก็แล้วแต่คนจะนิยาม เอาเป็นว่าไม่ต้องทางการมากครับ ถ้าเป็นหนังสือประเภทน็อนฟิกชั่น ก็ขอแบบที่อ่านง่ายๆ คือเนื้อหาวิชาการได้นะ แต่กลวิธีการนำเสนอไม่ต้องวิชาการเกิน ส่วนฟิกชั่นนี่ต่อให้เรื่องมาแนวเครียดก็อ่านได้ครับ เพราะความเครียดในงานฟิกชั่นคือความบันเทิง คือความสนุกรูปแบบหนึ่งของผม
คำถามนี้ทำให้ผมนึกถึงตู้หนังสือตัวเองเลยครับ มีหลายแนวมาก บางเล่มแค่เห็นปก เห็นชื่อนักเขียนก็ซื้อแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร บางเล่มก็ดองมานานแล้วครับ ฮืออออ แต่อย่างว่าความสุขของคนเราไม่เหมือนกัน บางทีแค่ได้ครอบครองก็มีความสุขแล้วครับ
ปกติอ่านหนังสือเวลาไหน
ส่วนใหญ่จะอ่านก่อนนอน แต่ก็จะไม่ได้อ่านเยอะ อ่านไม่กี่หน้าก็พร้อมหลับแล้วครับ เพราะเหนื่อยมาทั้งวัน ทำอะไรเยอะแยะไปหมด ปัญหาอีกอย่างคือผมติดโซเชียลมีเดีย อ่านไปไม่กี่บรรทัดก็จะอยากหยิบมือถือมาเช็กแล้ว เลยต้องบังคับจิตใจตัวเองให้อ่านนิดนึง
ช่วงเวลาที่จะอ่านหนังสือได้เยอะและได้นานที่สุดคือตอนอยู่บนเครื่องบิน เพราะบนนั้นไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีอะไรมารบกวนสมาธิในการอ่าน บางทีถ้าไปต่างประเทศไกลๆ อ่านจบเป็นเล่มก็มี อย่างหนังสือ Lots of Love 7300 วันที่เรารักกัน ของพี่หมวย ธนาพร (ธนาพร ตั้งเจริญมั่นคง) ผมก็อ่านบนเครื่องบิน อ่านไปร้องไห้ไปจนผู้โดยสารข้างๆ ตกใจครับ
สาเหตุหนึ่งที่ผมชอบนั่งเครื่องบินก็เพราะจะได้อ่านหนังสือนี่แหละครับ
อยู่สมาคมกองดองมั้ย
ไม่เหลือครับ บอกเลยดองไว้เยอะมากกกก อย่างที่บอกไปครับว่าเป็นคนตัดสินใจซื้อหนังสือง่ายมาก แค่เห็นปก เห็นชื่อคนเขียน ก็พร้อมควักบัตรออกจากกระเป๋าสตางค์แล้วครับ อย่างน้อยเรามีหนังสือเล่มนี้ที่บ้านก็รู้สึกอุ่นใจแล้ว อยากอ่านเมื่อไหร่ก็หยิบได้ ดีกว่าอยากอ่านแล้วไม่มีให้อ่าน
เคยคิดนะครับว่าจะจัดการกองดองให้หมดก่อน แล้วค่อยซื้อใหม่ แต่ก็ทำไม่ได้เลย มันยากมากนะครับ การตัดใจไม่ซื้อหนังสือสักเล่มเนี่ย ถ้าอยากได้แล้วต้องได้ ขอให้ได้ครอบครอง
บางเล่มที่ดองไว้ เพื่อนมายืมไปอ่านแล้วไม่คืนก็เยอะ บางเล่มกลับมาแบบเยินมาก ไม่รู้เพื่อนอ่านยังไงเหมือนกัน แต่ก็ไม่โกรธนะ ผมไม่ค่อยเสียดายเวลาหนังสือยับ มีรอยพับ หรือรอยขีดต่างๆ ผมว่ามันไม่ได้ทำให้เนื้อหาข้างในเปลี่ยนไป แอบรู้สึกดีด้วยซ้ำ อย่างน้อยหนังสือก็ถูกใช้งาน ดีกว่าดองไว้เฉยๆ แต่เรื่องนี้แล้วแต่คนมองนะครับ คนจะหวงหนังสือก็ไม่ผิด ของใครของมัน แต่ถ้าผมยืมหนังสือคนอื่นมาอ่านจะดูแลอย่างดีเลย ไม่มีรอยสักนิด เพราะบางทียืมมาดองครับ ฮ่าๆ
ปีนี้พิชิตหนังสือไปแล้วกี่เล่ม และมีเป้าหมายที่เท่าไหร่
ผมอ่านหนังสือจบไป 7 เล่ม พอดีครับ ค่อยๆ อ่านทีละนิด ไม่ได้เร่งว่าจะต้องอ่านให้จบภายในเมื่อไหร่ กลัวไม่มีความสุขกับการอ่านครับ มันกดดันตัวเองเกินไป ผมมองว่าการอ่านคือความบันเทิง ความผ่อนคลาย และความสุข อ่านไปตามใจอยากนี่แหละ อย่าไปบังคับตัวเองมาก อะไรที่เราถูกบังคับ เราไม่ค่อยมีความสุขนักหรอกครับ ไม่ว่าจะคนอื่นบังคับหรือเราบังคับตัวเอง ดังนั้นผมเลยไม่มีเป้าหมายว่าปีนี้จะอ่านได้กี่เล่ม อ่านไปเรื่อยๆ ง่วงก็นอน เล่มไหนอ่านแล้วไม่อยากอ่านต่อก็พักก่อนครับ
สุดท้ายนี้ฝากร้านได้เลยค่า
อยากฝากหลายร้านเลยครับ ได้ไหมอะ ได้แหละ ก็ขอฝากผลงานละคร งานรายการ และหนังสือในเครือสำนักพิมพ์ Avocado Books ด้วยครับ ถ้าอ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงก็ติชมกันเข้ามาได้ตามสะดวกผ่านทางโซเชียลมีเดีย @JakkritTomtom ได้ทุกช่องทางเลยครับ