LIFE AS A PATHOLOGIST × WEBTOON CREATOR
ทำความรู้จักอาชีพพยาธิแพทย์และการเป็นนักวาดเว็บตูนกับ ‘Dr.Eyri’ นักเขียนเจ้าของเรื่อง ‘Calling เสียงเพรียกจากเงาจันทร์’
เรื่อง: สุชานาถ กิตติสุรินทร์
ภาพ: A. Piriyapokanon
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นตอนประมาณตีสาม
ระหว่างกำลังเผชิญปัญหานอนไม่หลับ ครั้นจะเอางานมาทำก็เกรงใจสมอง เลยตัดสินใจเปิดเว็บตูนอ่าน หวังให้การ์ตูนลายเส้นสวยๆ จะช่วยให้จิตใจสงบ และนำพาเราไปสู่ห้วงนิทรา
ทว่าเรื่องที่เปิดอ่านดันเป็น Calling เสียงเพรียกจากเงาจันทร์ การ์ตูนสยองขวัญฝีมือคนไทยที่ติด Producer’s Pick ครั้งที่ 1 (โปรเจกต์ที่ทีมงานเว็บตูนจะกำหนดหัวข้อเรื่องขึ้นมา แล้วเลือกเรื่องที่ผ่านเกณฑ์และน่าสนใจที่สุดมาพัฒนาต่อ) ว่าด้วยเรื่องของหมอแผนกชันสูตรผู้เห็นผี และมีเหตุการณ์ฝังใจวัยเด็กตามมาหลอกหลอน
แม้จะไม่บรรลุจุดประสงค์การอ่านเพื่อให้หลับ เพราะมันดันสนุกจนซัดยันเช้า (เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรทำเป็นเยี่ยงอย่าง) นอกจากเนื้อเรื่องสะดุ้งตุ้งแช่ รายละเอียดการแพทย์ในเรื่องก็สมจริงจนต้องตามไปถึงทวิตเตอร์คนเขียน อยากจะทราบว่าเขาเป็นใครกันแน่
‘Dr.Eyri’ คือนามปากกาของ ‘แอร์’ นักวาดเว็บตูนเจ้าของเรื่อง ผู้มีอาชีพหลักคือการเป็นพยาธิแพทย์ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใจกลางเมือง กล่าวคือเธอเป็นทั้งหมอและนักวาดในเวลาเดียวกัน
ไม่จริงใช่ไหม เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร…
เพื่อหาคำตอบว่าคนเรามีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากันหรือไม่ เราจึงรีบทักไปชวนคุณแอร์มาคลายความสงสัย แต่ก่อนจะไปล่วงรู้เคล็ดลับการจัดการเวลาแบบมือโปรฯ เราขอมอบพื้นที่ให้คุณแอร์เล่าถึงการทำงานในฐานะพยาธิแพทย์ ขอบเขตการทำงาน อะไรคือศาสตร์มืดแห่งวงการแพทย์ และที่มาของ Calling เสียงเพรียกจากเงาจันทร์
อยากให้คุณแอร์เล่าถึงวัยเด็กให้ฟังหน่อย
เราเป็นเด็กชอบอ่านหนังสือ เมื่อก่อนลูกพี่ลูกน้องผู้ชายจะซื้อการ์ตูนมาอ่าน เล่มแรกที่เราหยิบอ่านคือ Berserk เปิดอ่านแล้วรู้สึกว่าทำไมชีวิตมันโหดร้ายแบบนี้ (หัวเราะ) แต่เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่ามันสวย งานอาร์ตมันสวย และเรื่องมันก็สนุกนะ
นอกจากนี้ เรายังชอบขีดเขียน แต่ไม่ได้วาดรูปจริงจัง จน เซเลอร์มูน มาฉายช่องเก้าตอนเช้า เรารู้สึกชอบเลยวาดรูปตาม พี่สาวเราก็เป็นคนชอบวาดรูปเหมือนกัน คือพี่เป็นเด็กเงียบๆ แล้วเราเป็นเด็กซนๆ ทางเดียวที่จะเล่นกับพี่ได้คือการวาดรูป
ด้วยความที่เราโตมากับบ้านคนจีนสมัยก่อน ก็จะมีความเข้มงวดด้านการเรียนประมาณหนึ่ง พี่เราก็อารมณ์เด็กสายศิลป์เลย ชอบศิลปะ ชอบภาษา ในขณะที่เราเป็นเด็กวิทย์ เลยคิดว่าแม่ก็น่าจะคาดหวังกับเรา ซึ่งตอนเข้ามหาวิทยาลัย พี่เราชิงเรียนศิลปะไปก่อนแล้ว ขอบคุณค่ะ (หัวเราะ)
คุณแอร์เลยไปสอบเข้าหมอ?
ตอนแรกเอนทรานซ์ได้คณะสถาปัตย์ฯ แต่เราค่อนข้างห่วงที่บ้าน เพราะสมัยนั้นเรียนศิลปะแล้วก็ไม่รู้จะได้อะไรมั้ย แถมเราห่วงทั้งพี่ทั้งแม่ แม่เราไม่ใช่ข้าราชการ ก็กังวลว่าถ้าเขาป่วยขึ้นมาจะรักษายังไง เลยตัดสินใจไม่เอาสถาปัตย์ แล้วไปเรียนหมอแทนซึ่งการทำแบบนี้เป็นเรื่องโคตรเสี่ยงเลยนะ
แต่ตอนที่เรียนหมอ เราก็วาดรูปเล่นอยู่ตลอด วาดลงชีตเรียนบ้าง ลงเว็บบอร์ด Pocket บ้าง มันเป็นคอมมิวนิตี้นักวาดที่ทุกคนจะช่วยคอมเมนต์กันอย่างจริงจังมากๆ แล้วก็มี comic fighting เป็นการวาดรูปต่อเนื่องกัน เราก็เล่นมาเรื่อยๆ จนได้เพื่อนที่คบมาจนถึงทุกวันนี้
ช่วงที่เรียนหมอเป็นยังไงบ้าง
โคตรเหนื่อย โคตรเครียด เหมือนเรา sacrifice ชีวิตให้ตรงนั้น มันไม่มีเวลาทำอย่างอื่นจริงๆ แต่เรามีนิสัยชอบรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ ไม่ได้ฝืนนะ เราเหนื่อย แต่ถือว่าได้รู้ จนตอนที่เป็น extern (ปี 6) ถึงจะเริ่มจัดการชีวิตได้
ตอนนั้นมีเพื่อนจากเว็บบอร์ดมาชวนวาดการ์ตูนความรู้ให้สำนักพิมพ์ เราก็อาศัยการเข้าเวรที่ไม่ได้นอนมานั่งวาด เสร็จแล้วไปสแกน เอามาตัดเส้นข้างนอกต่อ ไม่มีหรอกแท็บเลตน่ะ (หัวเราะ) เราวาดการ์ตูนความรู้ไปรวมๆ น่าจะ 8-9 เล่ม แล้วก็ออกจากสำนักพิมพ์ในช่วงที่เรียนเป็นแพทย์ประจำบ้าน
ทำไมถึงเลือกเรียนเฉพาะทางด้านพยาธิวิทยา
จริงๆ ตอนแรกเราสนใจด้านเด็กกับจิตเวชมาก เราชอบเด็กทารกนะ เด็กบางคนคลอดมาน้ำหนัก 600 กรัม เราก็เลี้ยงกับอาจารย์จนตัวโต ซึ่งเรามองว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ไม่มีเด็กคนไหนอยากตาย และเรารู้สึกว่านี่คือสิ่งที่คุ้มค่าจะรักษา แต่จังหวะที่เป็น extern กับ intern (แพทย์ฝึกหัด) เรามักได้เจอกับญาติผู้ป่วยที่ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ และมักจะได้วนเวียนกับความตายบ่อยๆ
อย่างตอนไปวนวอร์ดเด็กก็จะชอบเจอเคสประหลาด เช่น คลอดออกมาแล้วไม่มีหัวท่อนบนมีแค่ก้านสมอง ออกมาได้แป๊บเดียวก็เสียชีวิตละ พี่พยาบาลเขาเห็นแล้วก็สะเทือนใจ จึงให้เราไปเป็นคนดูแล
พอขึ้นอายุรกรรม ด้วยอะไรก็ไม่รู้ เคสที่ญาติเซ็นยินยอมไม่รับการยื้อชีวิต ส่วนมากจะตายวันที่เราขึ้นเวรหมดเลย เราเขียนใบตายเก่งมากนะ ส่วนตอนเลือกวนนิติเวชก็มีช่วงที่ต้องไปออกซีน (การลงสำรวจพื้นที่เกิดเหตุ) วันแรกก็ดวงแรงมาก เจอเคสตึกถล่มในกรุงเทพฯ นี่แหละ ใครทันข่าวอาจจะพอรู้ เจอร่างขาดเป็นชิ้นๆ เลย หรือตอนนั้นช่วงที่มีการประท้วงแล้วไฟไหม้รถบัสหน้าสถาบันแห่งหนึ่ง ศพจากเหตุการณ์นั้นก็ถูกส่งมาที่โรงพยาบาลเรา และเราต้องเป็นคนไปคุ้ยหาชิ้นส่วนที่กองรวมๆ กับซากรถ แยกออกมาดูว่าใช่คนหรือเปล่า
พอจบการเป็น intern เราก็ตัดสินใจเรียนต่อเฉพาะทางด้านพยาธิวิทยา เพราะอยากทำงานที่จัดการเวลาได้ ไม่ต้องการความตื่นเต้นในชีวิตมากและไม่ต้องเจอญาติคนไข้เยอะ แม้ว่าการเรียนพยาธิฯ ก็ต้องเจอญาติบ้าง แต่จะเป็นอารมณ์แบบทำไมเขาถึงตายมากกว่า อย่างที่บอกว่าเราชอบเรียนจิตเวช เรื่องแบบนี้เลยยังพอคุยกันได้ การหาสาเหตุการตายมันคือการเยียวยาคนเป็นไม่ใช่คนตายเนอะ เพราะมนุษย์เราต้องการเหตุผลแค่ว่าเขาตายจากอะไร พอได้เหตุผลที่ยอมรับได้ เขาก็โอเค
อยากให้ช่วยเล่าขอบเขตของงานพยาธิแพทย์
พยาธิวิทยามักถูกเรียกว่าศาสตร์มืดเพราะ เป็นสาขาวิชาที่คนเก็ตก็เก็ต ไม่เก็ตก็ไม่เก็ตเลย
ปกติเวลาเข้าเทรนแพทย์เฉพาะทาง เขาจะมีธรรมเนียมที่เรียกว่า ‘ร้อยวัน ฉันยังอยู่’ อารมณ์ประมาณว่าหมอสาขาอื่นเรียนประมาณร้อยวันก็รู้แล้วว่าชอบหรือเปล่า แต่กับพยาธิวิทยาไม่มีคำว่าร้อยวัน คุณจะเริ่มดูเนื้อเป็นตอนเรียนแพทย์ประจำบ้านปีสอง ซึ่งสองปีมันนานมาก แล้วระหว่างเรียนต้องดูเนื้อจริง ดูกล้อง และอ่านหนังสือเยอะมากกกก (ลากเสียง)
นอกจากการดูศพที่ตายในโรงพยาบาลหรือมาคอนซัลต์แล้ว ก็จะมีการเอาชิ้นเนื้อจากคนไข้ที่หมอต้องการรู้ว่าเป็นอะไร เช่น คนไข้มีก้อนที่หน้าอก เราก็จะต้องมานั่งดูว่าคนนี้เป็นโรคอะไร ซึ่งเวลาร่างกายเป็นโรค มันจะมีการเปลี่ยนแปลงระดับเซลล์เสมอ เขาเรียกว่าพยาธิสภาพ ดังนั้นเรามีหน้าที่ดูภาพนั้นแล้วมาจับคู่มันเข้ากับโรค สิ่งนี้ถือว่าเป็นการงมเข็มในมหาสมุทรระดับหนึ่ง เพราะว่ามันมีโรคเป็นล้านๆ เลยต้องมีสาขาเราขึ้นมา ดังนั้นทุกโรคที่มีตอนนี้เราจะต้องรู้จัก เพื่อจะตอบเขาให้ได้ว่าคนไข้เป็นโรคอะไร เสมือนเราเป็นหนังสือให้กับหมอสาขาอื่นๆ
โดยทั่วไปพยาธิฯ แบ่งเป็นสองสาขาคือพยาธิวิทยาคลินิกที่จะวุ่นวายกับพวกสารน้ำ ของเหลว เช่น เลือด น้ำหนอง ปัสสาวะ อุจจาระ กับพยาธิวิทยากายวิภาคที่จะเน้นไปที่ชิ้นเนื้อ ศพ และการดูสไลด์ชิ้นเนื้อในการวินิจฉัยโรค
การชอบวาดรูป ชอบการ์ตูนมาก่อน มีส่วนมั้ยที่ทำให้ชอบด้านงานนี้
เกี่ยวนะ เพราะเราเป็นคนจำจากภาพ บางคนดูแล้วไม่เก็ต อะไรวะชมพูๆ แต่สำหรับเรามันเหมือนเล่นเกมจับผิดภาพ เรามองปุ๊บ รู้ละว่าอันนี้ผิดปกติ ทั้งหมดทั้งปวงการจะดูแล้วรู้ว่าอันไหนผิดปกติ คือเราต้องรู้ตั้งแต่หัวจรดเท้าว่าแบบที่ปกติหน้าตาเป็นยังไง
พอบอกได้มั้ยว่ากระบวนการทำงานของพยาธิแพทย์เป็นยังไง
อันดับแรกก็จะมีเจ้าหน้าที่ที่รับเนื้อจากคนไข้มาเช็กว่าถูกคนมั้ย ถูกข้างมั้ย ตัดอะไรมา ใส่ฟอร์มาลีนมาเหมาะสมมั้ย เนื้อ Fix ดีหรือยัง แล้วก็จะส่งไปให้เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยตัดชิ้นเนื้อ ซึ่งคนนี้จะดูรอยโรคเก่งมาก ตัดปุ๊บดูรู้เลยว่าตรงนี้ผิดปกติแน่ คืออวัยวะแต่ละชิ้นจะมีวิธีการดูไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับวิธีการผ่าตัดด้วย โดยเราจะทำงานร่วมกันไปกับแพทย์หลายๆ สาขาที่ทำการผ่าตัด (สูติฯ, ศัลย์, med (อายุรกรรม) ฯล) แล้วส่งต่อให้เจ้าหน้าที่นำไปเข้ากระบวนการทำบล็อคพาราฟิน ลักษณะจะเป็นแท่งเทียนแข็งๆ แล้วก็เอาไปสไลด์ให้ได้แผ่นบางๆ คือบางเฉียบเลย เป็นงานฝีมือล้วนๆ ตอนเขาตัดคือห้ามหายใจ เดี๋ยวมันปลิว (หัวเราะ) จากนั้นก็เอาไปทำสไลด์ ย้อมสี แล้วส่งมาให้เราวินิจฉัยโรค ถือเป็นการจบกระบวนการค่ะ
การทำงานกับผู้เสียชีวิตทำให้กลัวผีบ้างมั้ย
จริงๆ ตั้งแต่สมัยแพทย์ฝึกหัด เราเป็นคนไม่กลัวศพ เพราะเรามองว่าเขาเป็นอาจารย์ตั้งแต่แรก ขอบคุณที่ให้เราเรียน แต่ถ้าเป็นผีก็มีหวาดๆ อยู่แรกๆ จะอึ้ง หลังๆ จะรู้สึกใช่เปล่าวะ (หัวเราะ) และก็หลอกตัวเองไปวันๆ ว่าไม่ใช่หรอกมั้ง
แล้วกลัวความตายหรือเปล่า
ไม่เลย กลายเป็นว่าพอเราเรียนด้านนี้ทำให้รู้สึกปลงโลก เหมือนมีมรณานุสติ ชีวิตก็แค่นี้ อาจจะตายเพราะโรคใดโรคหนึ่ง อาจารย์เรายังบอกว่าทุกคนมีมะเร็งเป็นของตัวเอง แค่จะตายก่อนเจอหรือมาให้เจอก่อนตาย ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามโรค เราก็พยายามรักษาสุขภาพให้ดี ใช้ชีวิตให้มันมีคุณภาพ
ตอนที่เรียนหมอไม่ค่อยได้กลับบ้าน แล้วพอมาเรียนพยาธิฯ ชีวิตดีขึ้นมั้ยคะ
ดี (ตอบทันที) work-life balance ดีมาก จากที่เครียดมาก กลายเป็นจัดเวลาได้ แต่ถึงอย่างนั้น แม้จะไม่มีเวร แต่ก็ไม่มีวันหยุดจริงๆ หมายถึงเคสที่เข้าเราคนอื่นทำแทนไม่ได้ ยกตัวอย่างหมอสาขาที่ต้องออก opd หรืออยู่เวรเป็นกะๆ ถ้าลงเวรก็ส่งต่อเคสให้คนที่มาอยู่ต่อได้ แต่ของเราคือถ้าเคสเข้าเป็นชื่อของเรา ถ้าไม่มีการส่งคอนซัลต์ต่อเราก็ต้องจัดการให้หมด ไม่งั้นงานมันจะค้างที่เราเป็นรายวันเลย แล้วจะส่งผลให้หมอที่รอผลอยู่ เขาจะวางแผนรักษาต่อไม่ได้ มันก็มีข้อดีข้อเสียคนละแบบ
แล้วคุณแอร์เริ่มกลับไปวาดรูปตั้งแต่เมื่อไหร่
จากที่บอกว่าเลิกวาดการ์ตูนความรู้ตอนเรียนแพทย์ประจำบ้าน หลังจากนั้นก็ไม่ได้วาดอีกเลยจนเรียนจบมาสักพัก ทำงานแล้วรู้สึกเหี่ยวเฉา ทำไมชีวิตฉันไม่มีค่าเลย ไปนั่งดูเพื่อนที่วาดรูปมาตั้งแต่เว็บบอร์ดหรือเด็กรุ่นใหม่ๆ ก็รู้สึกว่าเขาไปได้ดีจัง อยากวาดบ้าง มีจุดที่คิดว่ามาเริ่มใหม่ตอนนี้จะทันมั้ย แต่ก็คิดว่าช่างมัน ทำเลยแล้วกัน
พี่สาวเราเป็นนักวาดภาพประกอบก็เลยแนะนำให้เราไปลงเรียนคอร์สนึงซึ่งเป็นเพื่อนของนางนั่นแหละ แต่ก่อนจะได้เรียนต้องสอบเข้าด้วยนะ พอผ่านก็เลยคิดว่าพื้นฐานเราคงยังพอไหว
คอร์สนี้จะสอนตั้งแต่เริ่มต้นเลย อนาโตมี่ เกสเจอร์ คอนเซปต์อาร์ต ดีไซน์คาแรกเตอร์ ลงสี เป็นการเรียนแบบ advanced course หนึ่งปี
ระหว่างลงคอร์ส เราได้เจอเพื่อนหลายคนในนั้น ซึ่งเขาไปสายแอดวานซ์กันหมดละ มาเรียนเพื่อเพิ่มพูนทักษะ มีเพื่อนที่รับงานเป็นผู้ช่วยจากนักเขียนเว็บตูนเกาหลี แล้วเขามาชวนเราไปลองทำด้วย
อย่างที่บอกว่าเราชอบเรียนรู้จากอะไรใหม่ๆ เวลาเกาหลีส่งไฟล์งานมา เราก็จะมีโอกาสได้ศึกษาเลเยอร์ เห็นการวางคอมโพส ทำ transition ของเขา เราเลยจับจุดได้ บวกกับเราอ่านเยอะมากๆ เพราะขั้นตอนทำงานของนักเขียนเกาหลีจะให้เรฟเฟอร์เรนซ์มาหลายเรื่อง เราเลยต้องไปไล่อ่านทั้งหมด
ผู้ช่วยที่ว่าทำอะไรบ้าง
ลงสี ตัดเส้น ใส่เอฟเฟกต์ แต่งแสงเงา ทำแบ็กกราวนด์ ก็ช่วยทำกับเพื่อน ทำกันเป็นทีม ทำไปสักพักทางเว็บตูนไทยมีประกวด Producer’s Pick ครั้งที่ 1 โดยมีธีม ‘ความแปลกใหม่’ เรามองว่าในเว็บตูนยังไม่มีเรื่องหมอเท่าไหร่ เลยเขียน Calling เสียงเพรียกจากเงาจันทร์ สรุปคนอื่นทำโรแมนติกหมด มีเราทำสยองขวัญอยู่คนเดียว (หัวเราะ)
เราเป็นคนมี motto แบบหนึ่งคือ อะไรที่มีคนทำเกินกว่าสองคนในโลก คือมันทำได้ แค่ต้องฝึก จะทำได้ดีหรือเปล่าไม่รู้ แต่ทำได้แหละ เพราะเมื่อไหร่ที่ใจเราบอกว่าทำไม่ได้ มันจะทำไม่ได้จริงๆ
เมื่อก่อนเราทำไม่เป็นสักอย่าง 3D ก็ทำไม่เป็น เพราะเรามาจากโลกเก่า มาจากการวาดลงกระดาษ แต่เราหัดทุกอย่างในปีเดียว
ไอเดียเริ่มต้นของ Calling เสียงเพรียกจากเงาจันทร์ มาจากอะไร
เริ่มจากเราอยากเขียนเรื่องหมอเห็นผี เพราะระหว่างทำงานหรือเรียน เราเจออะไรประหลาดๆ เยอะ เยอะแบบอธิบายไม่ได้ด้วยหลักการวิทยาศาสตร์ เลยอยากเอามาใช้ดู
ตัวละครก็เพื่อนๆ แถวนี้ อย่าให้มันรู้นะ (หัวเราะ) เมื่อก่อนจะมีเพื่อนหมอผมยาว แล้วมันหล่อมาก ตัวละครหมอทิวเลยผมยาว มีคนถามว่าหมอไว้ผมยาวได้เหรอ ได้สิ ก็เป็นตำแหน่งที่ไม่เจอคนมาก เพื่อนเรายังย้อมผมทองเลย
หรือลุงเสริฐพ่อของสสิน เราเอามาจากผู้ช่วยที่นิติเวช เขาเป็นคุณลุงคนหนึ่งที่ทำงานมาตั้งแต่ปี 2529 แล้วใช้มีดเล่มเดียวในการชำแหละศพ ตอนแรกไม่เชื่อ จนไปนั่งดูแกทำ มีดซาซิมิยาวๆ อันเดียว ผ่าตั้งแต่หัวจรดเท้า ยกเว้นกะโหลกที่ต้องใช้เลื่อย
มีเหตุการณ์ไหนในเรื่องที่เอามาจากประสบการณ์ของตัวเองบ้างหรือเปล่า
ก็จะมีฉากที่ตัวละครในเรื่องเจอผีถามทาง ตอนนั้นเราเป็น extern อยู่เวรดึก ระหว่างทางมันเป็นทางยาวๆ ไฟสลัวๆ ก็เดินๆๆๆ แล้วหยุดกึก เพราะเราเห็นหน้าคนออกมาจากกำแพง เราก็มองว่าใช่เปล่าวะ ตัวไปไหน ทำไมมีแค่หน้า เดินอ้อมเลยจ้ะ คิดว่าน่าจะตาฝาด มันดึกแล้ว และก็มักจะได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ มีเสียงถามทางบ้าง เสียงคนเดินตามบ้าง ประมาณนั้น
มี hidden agenda ในการเขียนเรื่องนี้มั้ย
จะมีตอนที่หมอทิวบ่นเรื่องการเรียน การใช้ชีวิต ด่ารัฐบาลเล็กน้อย แล้วก็พูดเรื่องเป้าหมายชีวิต
อีกอย่างคือเราอยากให้รู้ว่าหมอก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ยังมีความเป็นคน ขี้เมา กินหมูกระทะ ไว้ผมยาว ร้องไห้ หรือสักก็ได้ อยากจะลบภาพหมอเนี้ยบๆ ใส่แว่นผมสั้นออกไป หมอก็เป็นแค่อาชีพหนึ่ง ไม่ได้สูงส่งกว่าอาชีพอื่นๆ เลย
การนำเรื่องการแพทย์มาเขียนเป็นการ์ตูน ต้องมีความสมจริงแค่ไหน
รายละเอียดสมจริงเราจะใส่เฉพาะบางส่วนที่คนเข้าใจผิด เช่น ไฟห้องผ่าตัดต้องสว่างเว้ย แต่ยากตรงที่จะทำยังไงให้ผีออกตรงที่สว่างได้ (หัวเราะ)
เราลดทอนไปหลายส่วน อย่างกระบวนการสืบสวน เพราะมันเป็นความลับเนอะ แล้วก็พวกวิธีที่ลงลึก บางอย่างมันดู trauma ไปสำหรับคนอ่าน หรืออย่างการผ่าศพจริงๆ จะไม่ได้เซอร์ขนาดใส่แค่สครับ ถุงมือ ผ้าปิดปาก เพราะของจริงจัดเต็มคือเป็นหมวกโรงอาหาร ผ้ากันเปื้อน รองเท้าบู๊ต ถุงมือยาว โคตรร้อน แล้วเทอะทะมาก
บางอย่างในการแพทย์มันผิดได้เล็กน้อยถ้ามัน practical ซึ่งหน้างานจริงๆ มันก็มีคนแอบอลุ่มอล่วยทำแหละ แต่เมนหลักๆ จะต้องไม่ผิด เช่น การเปิดศพ คนไม่รู้อาจจะเข้าใจว่ากรีดตั้งแต่ใต้คาง
ไม่ใช่เหรอคะ…
ไม่ใช่ๆ ในทางปฏิบัติเราจะผ่าเป็นรูปตัว Y ตามแนวโค้งเสื้อบังพอดี แล้วค่อยเลาะขึ้นมาจากข้างใน โดยไม่แตะต้องผิวหนังด้านนอกเลยถ้าไม่จำเป็น พอจะคืนร่างให้ญาติก็แปะหนังลงมา เย็บกลับให้สวยงามเหมือนเดิม หรือการเปิดหัว เราไม่ได้ผ่ากรีดให้มีรอยเห็นตรงหน้าผากเหมือนที่เข้าใจนะ แต่เราจะเปิดไปตามแนวที่คาดผมแล้วค่อยร่นหนังลงมาแทน ซ่อนรอยกรีดไว้ใต้ผม เวลาคืนร่างคนไข้ให้ญาติจะได้สวยๆ เราต้องให้เกียรติเขาด้วย
พอเอาเรื่องวิชาชีพมาเล่า เบื้องบนว่าอะไรมั้ย
ตอนแรกเราก็กลัวเหมือนกัน โชคดีว่าอาจารย์ไม่ได้ว่าอะไร ยังบอกด้วยว่าดีๆ คนอื่นจะได้รู้จัก ไม่มีปัญหาอะไร ตราบใดที่เราถ่ายทอดมันอย่างถูกต้อง
ไปลองอ่านรีวิวอื่นๆ นักอ่านส่วนใหญ่บอกว่าน่ากลัวมาก โดยเฉพาะถ้าอ่านในมือถือ เพราะมีเสียงประกอบด้วย
ยอมรับว่าเราเขียนเอามัน หลังๆ เริ่มคิดแล้วว่าจะแกล้งคนอ่านยังไง (หัวเราะ) เอาเสียงใส่ตรงไหนดี ตรงนี้ต้องกรี๊ดแน่เลย เราพยายามจะใส่จังหวะให้เขามีส่วนร่วมด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะได้ผล ก็แฮปปี้มาก
เราคิดพิสดารไปกว่านั้นเยอะเลย แต่ด้วยข้อจำกัดในด้านเทคนิคหลายๆ อย่าง เลยทำไม่ได้ ตอนแรกๆ เรากลัวว่าคนจะไม่อ่านเพราะมันน่ากลัวเกินไป คิดว่าคนอ่านเว็บตูนชอบเรื่องโรแมนติก ซึ่งก็ไม่อ่านจริงๆ แหละ
แง
ไม่เป็นไร เราก็เสนอให้คนที่ชอบอะไรแบบนี้ เดี๋ยวเรื่องหน้าเราค่อยปรับปรุงแนวทางใหม่
อยากให้เล่า 1 day ของการเป็นหมอและนักวาด
เราจะตื่นอยู่ที่ตีห้าถึงเจ็ดโมง วาดรูปสักหนึ่งชั่วโมง ก็ได้หลายช่องอยู่นะ เสร็จแล้วไปกินข้าว ไปทำงาน ทำงานๆๆๆ สี่โมงก็จะกลับบ้าน แล้วก็นั่งวาดรูปยาวไปจนถึงห้าทุ่ม จากนั้นก็นอน เราถือคติว่าจะไม่โต้รุ่ง ไม่นอนดึก เพราะทำให้หน้าแก่ แล้วมันจะคืนยากมาก โบท็อกก็เอาไม่อยู่
แล้วเอาเวลาไหนไปพักผ่อน
นี่ไง
พักผ่อนคือการวาดรูป?
ใช่
จริงเหรอ…
เราวาดรูปไปด้วย ดูหนังฟังเพลงไปด้วยได้นะ บางทีก็อ่านนิยายระหว่างทางกลับบ้าน อ่านวันละตอน มีหนึ่งพันตอน ไม่รู้จะอ่านจนจบไหม (หัวเราะ)
ถ้าสมมติการวาดเว็บตูนกลายเป็นอาชีพหลักขึ้นมา จะเครียดขึ้นหรือเปล่า
ก็อาจจะเครียดนะ เพราะเรามีภาระที่บ้าน ถ้าเราเอามันเป็นรายได้หลักก็คงเครียดเหมือนนักเขียนคนอื่น แต่เราเริ่มตอนอายุเยอะแล้ว จะให้มันเป็นสรณะก็คงยาก แล้วเอาเข้าจริง คนเราก็ทำคู่กันไปได้นี่ ฝั่งไหนดีก็เอามาซัพพอร์ตอีกฝั่ง ในอนาคตเราอาจจะเป็นนายทุนแทนก็ได้ ซัพพอร์ตวงการไป มันคงไม่พ้นเรื่องเหล่านี้ เพราะเราก็ชอบวาดรูป
เห็นคุณแอร์เคยทวีตเรื่องโดนบอกว่าเป็นหมออยู่ดีๆ ทำไมมาแย่งอาชีพนักวาด
อันนี้เราก็รู้สึกแย่ ก็เข้าใจเขานะ คนบางคนอาจจะคิดว่าเรียนด้านนี้มา เขายังไม่มีโอกาสเท่านี้เลย ทำไมเราถึงมาแย่งโอกาสเขา แต่เรามองว่ามันก็เป็นกับทุกวงการ คนที่เรียนจบมาไม่ตรงสายก็อาจจะทำงานในสายงานนั้นได้เหมือนกัน เราไม่ได้เรียนตรงสายก็ไม่ได้แปลว่าจะเข้ามาแย่งใคร เราเองก็ต้องพยายามพัฒนา พิสูจน์ตัวเองกับคนอ่าน กับคนอื่นๆ เหมือนกันว่าเราก็ทำได้ แล้วตอนขึ้นหน้าหลัก ถ้าใครได้อ่านตอนประกวดกับตอนลง จะเห็นได้เลยว่า เราเองก็ไม่หยุดพัฒนางานจริงๆ นะ ฉะนั้นมันไม่เกี่ยวกับสายตรงไม่ตรง ใครแย่งงานใคร มันเกี่ยวกับว่าเราอยากทำอะไร ทุ่มเทให้กับอะไรมากกว่า
ถ้าสมมติว่าไม่ได้มาทำเว็บตูน ไม่ได้รับเลือก Producer’s Pick ชีวิตจะเป็นยังไง
ก็อาจจะไปขอ บ.ก.กลับไปวาดการ์ตูนความรู้เหมือนเดิม ไม่ว่ายังไงก็จะกลับไปวาดรูป เหมือนการใช้สมองซีกเดียวนานๆ แล้วมันเหนื่อย เลยต้องไปใช้อีกซีกให้มันเมื่อยเท่ากัน (หัวเราะ)
คนเราไม่ต้องทำอย่างเดียวก็ได้ อยากทำอะไรก็ลองทำเลย ไม่ต้องสนใจอายุมากก็ได้ เดี๋ยวนี้คนเราทำเหมือนจะตายตอนอายุ 40
หลายคนชอบคิดว่าพออายุมากขึ้นจะเริ่มต้นใหม่ไม่ได้แล้ว
เราว่าช่วงพีคของชีวิตคือช่วงอายุ 30-40 ปี ถ้าเมื่อไหร่เราเหยียบถึงอายุช่วงนี้ มีการงานที่มั่นคง เราจะมีตังค์มาทำสิ่งที่อยากทำจริงๆ จะเติมเกมเป็นหมื่นก็ได้ จะกดกาชาเป็นร้อยรอบก็ได้ จะลงทุนวาดรูป เรียนดนตรี ดำน้ำ ดูปะการัง ก็ไม่มีใครว่า มันเป็นช่วงที่โคตรพีคของชีวิต
พอเป็นทั้งหมอและนักวาด คุณแอร์ดูใช้ร่างกายหนักทั้งคู่
แต่การนอนสำคัญมากนะ ต้องนอนให้เป็นเวลา อย่าคิดว่าโต้รุ่งตีสี่แล้วไปชดเชยตอนบ่าย มันไม่ได้ เพราะ growth hormone ที่ช่วยซ่อมแซมร่างพังๆ ของเรามันหลั่งตอนกลางคืน
การลงทุนกับอุปกรณ์ก็สำคัญ บางคนบอกเก้าอี้แพง ไม่กล้าจ่าย เราบอกเลยนะว่าจ่ายไปเถอะ ค่าผ่าหลังแพงกว่าเยอะ เก้าอี้ดีๆ จะปรับท่าทางการนั่ง คอ และหลังของเราให้ถูกต้อง จะทำให้เราไม่เมื่อย
พูดได้เลยว่าเราวาดงานนานขนาดนี้ แต่ไม่เคยปวดหลังเลย นอกจากลงทุนกับอุปกรณ์แล้ว เรามีน้ำหนึ่งแก้วไว้ข้างตัว ถ้าจิบหมดจะลุกไปเติมน้ำข้างล่าง แล้วกินน้ำเยอะจะปวดฉี่บ่อย ก็ต้องเดินไปเข้าห้องน้ำ เป็นการทำให้เราได้ลุกเดินบ้าง ไม่นั่งนานจนเกินไป
บางคนทำงานเหมือนจะวาดแค่เรื่องนี้แล้วจะไม่วาดอีกเลย มันไม่ได้ การดูแลสุขภาพก็คือส่วนหนึ่งของความเป็นมืออาชีพ อยากให้นักวาดดูแลตัวเองดีๆ อย่าใช้จนมันพังเร็ว ยังไม่ทันรวยเลย (หัวเราะ) อยากให้อยู่ใช้ชีวิตดูผลงานตัวเองด้วย ไม่ใช่ทำงานเสร็จแล้วตาย เราต้องไปนั่งดูดอกไม้ไฟกับผู้อ่านของเราสิ
พอ Calling จบ คุณแอร์มีแผนยังไงต่อ
นอกจากแผนการจะทำอีกเรื่อง ก็อยากลงทุนทำทีม เพราะน้องๆ ผู้ช่วยบางคนมีความสามารถ แต่การทำเว็บตูนต้องใช้ทุนเยอะ พูดตรงๆ ว่าอาชีพหมอก็พอมีเงินเก็บ เลยอยากเอาเงินมาทำทีม ถือว่าให้โอกาสน้องๆ ด้วย ถ้าเราไม่ได้วาดต่อในอนาคต ก็ยังเป็นนายทุนได้นะ
พอจะกระซิบแผนเรื่องใหม่ได้มั้ย
ซิกเนเจอร์เราคือการเขียนเรื่องเกี่ยวกับหมอๆ แต่จะเป็นหมอแบบไหน ต้องรอดูกันนะคะ (ยิ้ม)