Fri 30 Oct 2020

SHINE BRIGHT LIKE AN (K)-IDOL

หนังสือเล่มแรกของ ‘เจสสิก้า จอง’ ที่พาไปเห็นเส้นทาง และความฝันของเด็กฝึกหัดเกาหลี

ภาพ: NJORVKS

“ถึงเวลาที่ฉันจะเปล่งประกายแล้ว
แล้วก็จะไม่ยอมให้ใครมาหยุดฉันด้วย”

     ปฏิเสธไม่ได้ถึงความโด่งดังของอุตสาหกรรมเคป๊อปที่ไปไกลทั่วโลก ที่แม้คุณอาจจะไม่ได้เรียกตัวเองว่า ติ่งเกาหลีหรือแฟนคลับ แต่ทุกวันนี้ คุณก็สามารถเห็นภาพเหล่าไอดอลผ่านป้ายไฟตามสถานีรถไฟฟ้า หรือเพลงที่อาจจะลอดหูมาจากการเปิดในร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ จนเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในวงการที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเผยแพร่วัฒนธรรม หรือ Soft Power ของประเทศเกาหลีใต้ออกไปสู่ทั่วโลก 

     จึงไม่แปลก ที่เด็กวัยรุ่นในประเทศเกาหลีใต้ รวมถึงประเทศอื่นๆ จะมีความฝันว่าอยากเติบโต และได้เดบิวต์เป็น ‘ไอดอล’ ได้เฉิดฉาย มีผลงานร้อง เต้น สร้างความเอนเตอร์เทน และถูกจดจำในฐานะศิลปินแห่งวงการเคป๊อป 

     แต่กว่าจะมีคุณสมบัติของการเป็นไอดอลที่เพอร์เฟกต์ มีหน้าตาเป็นเลิศ หุ่นดี ร้อง high note ไม่มีผิดเพี้ยน เต้นได้เป๊ะเหมือนเครื่องจักร มีทักษะโชว์ไหวพริบในรายการวาไรตี้ได้ ต่างก็ต้องแลกมาด้วยเวลา การเรียน และช่วงชีวิตวัยรุ่นเกือบทั้งหมดไปกับการเป็น ‘เด็กฝึกหัด’ หรือ ‘เทรนนี’ ที่วันหนึ่งจะพร้อมเฉิดฉายกลายเป็นศิลปิน 

     แม้จะเกริ่นเรื่องวงการเคป๊อปของเกาหลีมาถึงขนาดนี้ แต่ในเมื่อ CONT. เป็นเว็บไซต์ที่จะชวนคุณไปอ่านสิ่งต่างๆ วันนี้เราก็เลยจะชวนคุณมาอ่านหนังสือที่จะทำให้ได้รู้จัก และเห็นภาพเบื้องหลังของวงการเคป๊อปในมุมที่อาจไม่เคยเห็นมาก่อน กับหนังสือที่ถูกเขียนโดยไอดอลเกาหลี เจสสิก้า จอง (Jessica Jung) อดีตสมาชิกวง Girl’s Generation กับ Shine นิยายวรรณกรรมเยาวชน ที่แม้จะบอกว่าเป็นฟิกชั่น แต่ด้วยประสบการณ์ที่อยู่ในวงการเพลงเกาหลีมากว่าสิบปีของเจสสิก้า แน่นอนว่าเรื่องราวจากจินตนาการของเธอ ก็มีแง่มุมบางอย่างที่สะท้อนความจริง และเบื้องหลังของวงการให้เราได้เห็นด้วย

เจสสิก้า จอง:
ไอดอล นักแสดง CEO ดีไซเนอร์ และบทบาทใหม่กับการเป็น ‘นักเขียน’

     หลายๆ คนคงรู้จักเจสสิก้าในนามอดีตสมาชิกวง Girl’s Generation เกิร์ลกรุ๊ปที่เป็นประวัติศาสตร์ในวงการเคป๊อป เธอเกิดที่ซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐฯ ก่อนจะย้ายกลับมาอยู่เกาหลีใต้เมื่ออายุ 11 ปี เริ่มต้นเป็นเด็กฝึกหัดภายใต้สังกัด SM Entertainment ก่อนจะเดบิวต์กับวงในปี 2007 และออกจากวงในปี 2014 โดยหลังจากนั้น เธอได้กลายมาเป็นศิลปินเดี่ยวที่มีผลงานออกมาแล้วหลายอัลบั้ม รวมถึงผลงานแสดงภาพยนตร์ ซึ่งนอกจากบทบาทในวงการบันเทิงแล้ว เธอยังเป็น CEO ที่เปิดแบรนด์แฟชั่นของตัวเองที่ชื่อว่า ‘BLANC & ECLARE’ พร้อมกับเป็นดีไซเนอร์ของแบรนด์ด้วย 

     และในปีนี้เอง เธอก็ได้เดบิวต์บทบาทใหม่ ด้วยการเป็นนักเขียน กับผลงานวรรณกรรมเยาวชน Shine ที่เล่าถึงชีวิตของ ‘เรเชล คิม’ เด็กสาวอเมริกัน-เกาหลีวัย 17 ปี เด็กฝึกหัดแห่งค่ายเพลง DB Entertainment ที่โด่งดังของเกาหลีใต้ ซึ่งเธอได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจอยู่หลายปี เพื่อแลกกับความฝันที่หวังว่าจะได้เดบิวต์เป็นไอดอลในวงเกิร์ลกรุ๊ป เหมือนกับชีวิตของเจสสิก้า 

     เรเชลทุ่มเทชีวิตหกปีหลังย้ายจากสหรัฐฯ มาอยู่ที่เกาหลี กับการเป็นเด็กฝึกหัดในค่าย เธอต้องปรับตัว ต้องแลกชีวิตวัยรุ่นไปกับการฝึก ไปถึงยอมอยู่ในกรอบ และระเบียบอย่างเคร่งครัด

สิ่งที่ต้องแลกกว่าจะได้เป็นไอดอลเคป๊อป

     “การเดบิวต์คือทุกสิ่ง ฉันทำงานอย่างหนักทุ่มเทเพื่อสิ่งนี้ และจะไม่มีทางที่ฉันยอมให้ตัวเองพลาด”

     ตัวละครของเรเชลสะท้อนให้เราได้เห็นชีวิตของเด็กฝึกหัด และเส้นทางก่อนจะมีชื่อเสียงของเหล่าไอดอล ที่ต้องเผชิญกับการฝึกอันเข้มข้นในทุกสกิลเอนเตอร์เทนเมนต์ การควบคุมน้ำหนักให้ร่างกายเป๊ะปัง ต้องศัลยกรรมให้ดูดีมั่นใจ การวางตัว การตอบคำถามหน้ากล้อง ไปจนถึงการอาจถูกเลือกปฏิบัติทางเพศ โดยที่พวกเขาไม่มีวันรู้เลยว่า สิ่งที่ลงแรงและลงใจไปนั้น จะไปถึงฝั่งฝันของคำว่าเดบิวต์หรือเปล่า เพราะแม้จะทำดีแค่ไหน ก็อาจมีคนที่ดีและเพียบพร้อมในการเป็นไอดอลกว่าได้ ด้วยเด็กฝึกหัดที่ล้นตลาด มากกว่าจำนวนคนที่จะผ่านถึงการเป็นไอดอล

     สิ่งหนึ่งที่เราเห็นจากชีวิตของเรเชล คือระยะเวลาของการเป็นเด็กฝึกหัด โดยแต่ละค่ายเพลงมักจะมีการเว้นช่วงเวลาสำหรับการเดบิวต์วงเกิร์ลกรุ๊ป บอยกรุ๊ปในแต่ละครั้ง ซึ่งหากพลาดโอกาสแต่ละรอบไป อาจจะต้องรอนานอีกหลายปี หรืออาจโดนเด็กฝึกหัดรุ่นใหม่ๆ เดบิวต์ตัดหน้าไปก็ได้ 

     สำหรับเรเชลแล้ว เธอที่อายุ 17 ปี และอยู่ในฐานะเด็กฝึกหัดมา 6 ปี ก็ได้ย้อนกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า จะถึงเวลาเดบิวต์ของเธอหรือยัง? 

     ในวงการเคป๊อป เราเห็นไอดอลหลายคนที่มีระยะเวลาฝึกหัดยาวนาน บางคนเริ่มเป็นเด็กฝึกหัดตั้งแต่ตอนประถม บางคนอยู่ในฐานะเด็กฝึกหัดยาวนานหลักสิบปี เช่น G-Dragon แห่งวง Big Bang ที่เป็นเด็กฝึกหัดถึง 11 ปี หรือแม้แต่ตัวเจสสิก้าเอง ก็รับการฝึกหัดอยู่ 7 ปี 

     ถึงอย่างนั้น จำนวนปีที่รับการเทรนก็ไม่ได้เป็นตัวพิสูจน์ความแน่นอนในวงการนี้ และแม้ว่าจะไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวเกี่ยวกับอายุของไอดอลที่ควรจะเดบิวต์ แต่ก็เป็นที่รู้กันในวงการว่า ช่วงอายุไพรม์ไทม์ของการได้เดบิวต์คือ 16-21 ปี ดังนั้นจึงมีข่าวเด็กฝึกหัดหลายคนล้มเลิกความฝันเมื่ออายุเข้าวัยเลข 2 ไปถึงข่าวน่าเศร้าอย่างการหยุดชีวิตตัวเอง เมื่อพวกเขาต้องผิดหวังและไปไม่ถึงฝัน

     ไม่เพียงอายุที่เป็นปัจจัยหนึ่ง สำหรับค่ายเพลงหรือผู้บริหาร พวกเขายังมองการเดบิวต์ของไอดอลเป็นการลงทุนในตัวเด็กฝึกหัด ซึ่งเหล่าเด็กฝึกหัดก็ต้องแสดงให้ค่ายเพลงเห็นว่า เธอหรือเขาเป็นบุคคลที่ค่ายควรลงทุนด้วย โดยการแสดงความสามารถ ผ่านการประเมินประจำเดือน หรือไตรมาส แน่นอนว่า ตัวละครที่เป็นเด็กฝึกหัดอย่างเรเชลก็ต้องเผชิญกับการประเมินเหล่านี้ เพื่อเช็กสกิลและวัดระดับความพัฒนา ว่าค่ายควรจะลงทุนในตัวเธอต่อไปหรือไม่ 

     หากย้อนกลับไปดูตลาดวงการเคป๊อปในชีวิตจริง ก็จะเห็นว่าการประเมินผลของค่ายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้ถูกนำมาปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เข้ากับระบบทุนนิยม ความนิยมของตลาดเคป๊อปและจำนวนเด็กฝึกหัดที่ล้นตลาดถูกนำมาแปรเป็นรายการประเภท Survival Show ที่เด็กฝึกหัดจะถูกประเมินโดยการโหวตจากผู้ชมและเมนเทอร์ โดยเมมเบอร์ที่เหลือรอดจะถูกฟอร์มเป็นวงขึ้นมาใหม่ 

     อย่างไรก็ตาม แม้รายการเหล่านี้จะสนองความบันเทิงของวงการ แต่ก็มีความโหดร้ายจากความตึงเครียดของเด็กฝึกหัด บางคนผ่านมาหลายรายการก็ยังไม่ได้เดบิวต์ ไปจนถึงดราม่าการโกงที่เกิดขึ้นจากการล็อก และวางตัวเด็กฝึกหัดไว้แล้วด้วย ซึ่งแม้ว่าเรเชลจะไม่มีประสบการณ์ต้องไปแข่งขันในรายการ แต่บรรยากาศการแข่งขันในค่ายก็ดุเดือดไม่แพ้กัน รวมถึงตัวเจสสิก้าเอง หลังจากที่เซ็นสัญญากับค่ายใหม่แล้ว เธอก็มีประสบการณ์ในการปรากฏตัวในรายการ Survival ของไอดอล ในฐานะตัวแทนค่ายที่ส่งเด็กฝึกหัดไปเข้าประกวด ซึ่งสุดท้ายแล้ว น้องๆ ในค่ายของเธอ ก็ไม่ได้เฉิดฉายและเดบิวต์ผ่านรายการเหล่านี้ 

     นอกจากนี้ สิ่งที่เราอยากชวนไปดูผ่านชีวิตของเรเชลมากที่สุด คือการต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ที่ต้องระแวดระวังเรื่องความรักและการมีแฟน ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า การมีแฟนหรือการออกเดตแทบจะเป็นเรื่องต้องห้ามของเด็กฝึกหัด ไปถึงไอดอลในช่วงระยะแรกที่พวกเขาเดบิวต์เลยด้วย อย่างเรเชลเองก็ได้รับคำแนะนำจากรุ่นพี่ว่า หากจะอยู่ในวงการนี้ การมีแฟนคือเรื่องอันตราย

     หลายค่ายเพลงเองก็มีกฎระเบียบในเรื่องความรัก เพราะถึงแม้ปัจจุบันจะมีแฟนคลับที่เปิดกว้างในเรื่องนี้มากขึ้น แต่ก็ยังมีแฟนคลับที่พร้อมจะหันหลังให้คุณหากมีข่าวเดตเช่นกัน โดยบางค่ายก็มีระยะเวลาชัดเจนสำหรับกฎนี้ เช่น เกิร์ลกรุ๊ปวง Twice ที่ค่ายกำหนดเวลาห้ามเดตในช่วงสามปีแรก ซึ่งหลังจากพ้นช่วงนั้นแล้ว ก็มักมีข่าวของสมาชิกในวงที่ออกเดตตามมา หรืออย่างล่าสุด ซานดารา ปาร์ก (Park Sandara) สมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังวง 2NE1 ก็เคยเล่าถึงกฎระเบียบเรื่องความรัก ซึ่ง 2NE1 ก็เป็นอีกวงที่มีกฎห้ามออกเดตเป็นเวลาห้าปีนับแต่เดบิวต์ 

     ซานดาราเล่าว่า เธอต้องปฏิบัติตามกฎการห้ามออกเดตตั้งแต่ช่วงที่ยังเป็นเด็กฝึกหัด 

     “ในตอนที่ฉันเป็นเด็กฝึกหัดอยู่ ฉันถูกตำหนิเรื่องการออกเดต หลังจากนั้นผู้จัดการก็ยึดโทรศัพท์ของฉันไป” 

     สิ่งเหล่านี้เป็นแค่มุมหนึ่งของการเป็นเด็กฝึกหัดเท่านั้น เพราะแน่นอนว่ากว่าจะได้เปล่งประกายอย่างชื่อหนังสือ เบื้องหลังของแสงสปอตไลต์ยังมีอีกหลายสิ่งที่การเป็นเด็กฝึกหัดต้องแลกมา 

     สำหรับบางคนก็อาจจะคุ้มค่ากับการที่ได้เดบิวต์ และโด่งดังตามความฝัน แต่สำหรับอีกหลายคน ความทุ่มเทเหล่านี้ก็ไม่มีหลักประกันใดๆ รองรับความฝันพวกเขาได้เลย

ศิลปินเกาหลีกับบทบาทของการเป็นนักเขียน 

     เปิดตัวคอลัมน์ด้วยบทความแรกทั้งที เรื่องเล่าของเราก็ยังไม่หมดง่ายๆ Shine เป็นหนังสือเล่มแรกของเจสสิก้า และแทบจะเรียกได้ว่าเป็นไอดอลคนแรกที่แต่งนิยายออกมา แต่ก่อนหน้านี้ ก็มีศิลปินในวงการเคป๊อปที่เคยออกหนังสือ และมีบทบาทกับการเป็นนักเขียนเช่นกัน 

     วง Big Bang ก็เคยมีผลงานหนังสือ Shouting out to the World ตีพิมพ์ในปี 2009 ซึ่งถือเป็นหนังสืออัตชีวประวัติ ที่เล่าถึงชีวิตการเป็นเด็กฝึกหัด การเดบิวต์ และการกลายมาเป็นศิลปินร่วมกันในนามวง Big Bang หรือหนังสือ Skeleton Flower: Things That Have Been Released and Set Free ที่ตีพิมพ์ในปี 2015 ของ คิม จงฮยอน (Kim Jong-hyun) สมาชิกวง SHINee ที่เขียนเรื่องราวสั้นๆ เล่าถึงการเขียนผลงาน และการแต่งเพลงของตัวเอง

     นอกจากหนังสือที่เล่าถึงผลงานและประสบการณ์การเป็นศิลปิน ก็ยังมีศิลปินที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบมากๆ อย่างการตกแต่งเล็บ หรือ Nail Art จากหนังสือ Lee Honggi Nail Book ของ ลี ฮงกิ (Lee Hong Gi) วง FT Island ที่เขียนร่วมกับศิลปินนักตกแต่งเล็บ โดยเขาตั้งใจเขียนหนังสือเล่มนี้เพื่อทำลายมายาคติเกี่ยวกับการแต่งเล็บของผู้ชาย และยังเสนอความรู้เกี่ยวกับการทำเล็บประเภทต่างๆ ด้วย

     แต่หนังสือของศิลปินเกาหลีที่ถึงขั้นมีการแปลเป็นภาษาไทยและโด่งดังในบ้านเราด้วย คงหนีไม่พ้นผลงานของ ทาโบล (Tablo) วง Epik High กับหนังสือรวมเรื่องสั้น Pieces of You และ Blonote หนังสือรวบรวมถ้อยคำและข้อความที่ทาโบลพูดส่งท้ายรายการวิทยุยามค่ำคืน ซึ่งต่างก็เป็นหนังสือที่ขายดีในเวอร์ชั่นอังกฤษและเกาหลีเช่นกัน

อ้างอิง

https://www.allkpop.com/article/2020/10/dara-opens-up-about-how-yges-5-year-dating-ban-hit-her-love-life