OCEAN VUONG
กวี-นักเขียนผู้ใช้ภาษาลึกร้าวราวมหาสมุทร
เรื่อง: ฆนาธร ขาวสนิท
ภาพ: injingjing
‘โอเชียน วอง’ (Ocean Vuong) คือกวี-นักเขียนที่ผู้เขียนบทความนี้กล้าพูดว่าอิจฉาได้เต็มปาก
1
หนังสืออะไรก็ได้ ผมแค่ปรารถนาจะอ่านให้จบสักเล่ม นิยาย รวมเรื่องสั้น บทกวี อะไรก็แล้วแต่ ช่วงเวลานั้นผมแค่อยากทำอะไรให้สำเร็จ—เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี ต้นปี 2020 โควิด-19 ระบาด ล็อกดาวน์ลำพังในประเทศแปลกหน้า ห่างจากบ้านเกิด 6,180 กิโลเมตรเป็นเรื่องทรมาน เขียนนิยายจบไปหนึ่งเล่มก็จริง แต่ความโดดเดี่ยวก็หยุดทุกสิ่งให้ชะงักไว้แค่นั้น ผมเพียงต้องการไขว่คว้าหาอะไรบางอย่าง จับมันไว้ด้วยสองมือให้มั่น ขณะสมาธิจดจ่อกับสิ่งต่างๆ เริ่มหดน้อยถอยลงทุกวัน มันจึงต้องเป็นหนังสือที่ไม่หนานัก
แล้วผมก็เจอโอเชียน วอง กับหนังสือรวมบทกวีเล่มเล็กๆ ความหนาแค่ 89 หน้าของเขา และเป็น 89 หน้านั้นเองที่ทำให้ผมตระหนักว่าในฐานะนักเขียนคนหนึ่ง ตัวเองยังอ่อนด้อยและอ่อนหัดต่อโลกนี้เพียงใด—อ่อนด้อยเมื่อเทียบกับความลึกล้ำเหมือนดิ่งลึกลงไปใต้มหาสมุทรที่ไม่รู้ว่าก้นของมันอยู่ตรงไหน อ่อนหัดเมื่อเปิดอ่านหนังสือชื่อ Night Sky with Exit Wounds แล้วถูกนักเขียนจากอีกซีกโลกที่มีอายุไล่เลี่ยกับตัวเองฟาดประโยคแล้วประโยคเล่าใส่หน้าอย่างจัง
“จากนั้น ราวกำลังหายใจ ทะเลกระเพื่อมอยู่ข้างใต้เรา ถ้าคุณต้องรู้อะไรสักเรื่อง จงรู้เถอะว่าภารกิจที่ยากที่สุดคือการมีชีวิตแค่เพียงครั้ง นั่นเป็นตอนหญิงสาวบนเรือซึ่งกำลังจมแปลงร่างบอบบางของตนเป็นแพ ขณะผมหลับใหล เขาเผาไวโอลินตัวสุดท้ายเพื่อทำให้เท้าผมอุ่น เขาเอนตัวลงข้างๆ วางถ้อยคำลงบนท้ายทอยผม มันหลอมละลายกลายเป็นหยดวิสกี้ กัดกร่อนทองอร่ามทั่วแผ่นหลัง เกลือขึ้นเกรอะกรังในประโยคของเรา เราล่องเรือมาเป็นเดือนๆ แล้ว แต่สุดขอบโลกยังไม่ปรากฏในสายตา”
—แปลจาก Night Sky with Exit Wounds โดยผู้เขียนบทความนี้
เพียงย่อหน้าแรกของบทกวีบลำดับที่ 5 ชื่อ Immigrant Haibun ก็ทำให้ผมตกตะลึง
ผมอิจฉารุนแรง นั่นคือความรู้สึกแรก ตาร้อนผ่าวแบบไม่ได้เล่นโวหาร และอาจมีน้ำตาซึมออกมาด้วยซ้ำ แต่อีกความรู้สึกที่เกิดขึ้นพร้อมกันคือความรู้สึกนับถือกวีผู้นี้สุดจิตสุดใจ
โอเชียน วอง หรือ? บทกวีของเขาลึกล้ำและลึกร้าวราวมหาสมุทรตามชื่อของกวีอย่างแท้จริง
โอเชียน วอง หรือ? เขาคือใครกัน?
ตอนนั้น ผมรู้เพียงคร่าวๆ ว่าเขาเป็นอเมริกันชนเชื้อสายเวียดนาม เติบโตมาในครอบครัวที่ต้องอพยพจากผลของสงครามบนคาบสมุทรอินโดจีนอันโหดร้ายและยาวนาน แต่ลึกไปกว่านั้น—ใต้ผืนสมุทรตามคำแปลตรงตัวในชื่อ Ocean—โอเชียน วอง คือใครกัน?
เขาซ่อนอะไรไว้ภายใต้ดวงตาหม่นเศร้า และร่างกายผ่ายผอมแบบบางเช่นเดียวกับชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบบเราๆ กันแน่?
2
“เราจะงดงามได้ก็ต่อเมื่อถูกมองเห็น
แต่เมื่อถูกมองเห็น เราย่อมถูกล่า”
วรรษชล ศิริจันทนันท์ แปลข้อความนี้จากต้นฉบับภาษาอังกฤษที่ว่า “To be gorgeous, you must first be seen, but to be seen allows you to be hunted.” จากนิยาย On Earth We’re Briefly Gorgeous ไว้อย่างงดงาม สมกับชื่อฉบับแปลไทยที่ก็ตั้งไว้ได้หมดจดเช่นกันว่า เราต่างงดงามแล้วจางหาย—นิยายเรื่องแรกของวอง ซึ่งมาในรูปแบบของจดหมายจากเด็กหนุ่มผู้ถูกผลักให้อยู่ตรงสุดชายขอบสังคมเสมอมา
ในนิยาย เขากำลังเขียนถึงแม่ผู้จะไม่มีวันได้อ่านมัน—แม่ คนที่อ่านภาษาอังกฤษไม่ออกแม้สักตัวอักษร แถมเขายังเขียนมันออกมาด้วยท่วงทำนองแบบกวีอันงดงาม และว่ากันตามตรงก็ค่อนข้างอ่านยากอยู่สักนิด
เขาเขียนเล่าเรื่องของแม่ ของยาย ของป้า ของตาผิวขาวชาวอเมริกันผู้อาจไม่ใช่ตาที่แท้จริงของเขาด้วยซ้ำ บอกกล่าวเกี่ยวกับความตาย เกี่ยวกับประเทศบ้านเกิดที่เขาแทบไม่รู้จัก เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงแต่ถูกเล่าขานเหมือนนิทานปรัมปราราวภาพฝัน เขียนถึงความแปลกหน้าต่อดินแดนที่เขาใช้ชีวิตอยู่มาเกือบทั้งชีวิต ถึงคนรักสักคนที่เปิดขอบฟ้าให้เขาเห็นตัวตน โดยเฉพาะตัวตนทางเพศ ว่ามันกว้างใหญ่เพียงใด และได้ทำให้เรียนรู้ ว่าบางครั้งเราก็งดงามได้เมื่อผ่านพ้นความเจ็บปวดมานานพอ
“…ความรู้สึกที่ไม่ได้มาจากการเคล้าคลึงหรือความละมุนละไม แต่จากการที่ร่างกายไม่มีตัวเลือกอื่นใดนอกจากจะน้อมรับความเจ็บปวดไว้ เก็บกดมันลงไปจนความสุขสำราญเหลือเชื่อแผ่ซ่าน ผมรู้แล้วว่าโดนเย็ดตูดก็รู้สึกดีได้ หากเราฝืนทนจนพ้นความเจ็บปวดไหว…”
และ
“…การกระทำนี้ถือครองพลังใหม่ที่ทำให้สั่นสะเทือน เสมือนผมถูกสวาปาม ไม่ใช่โดยใคร ไม่ใช่โดยเทรเวอร์ แต่ด้วยความปรารถนาโดยตัวมันเอง เพื่อให้ความต้องการนั้นปลดเปลื้องผม เพื่อให้ความโหยหาแสนบริสุทธิ์ชำระล้างมลทินให้ผม นั่นแหละที่ผมเป็น”
—On Earth We’re Briefly Gorgeous เราต่างงดงามแล้วจางหาย
วรรษชล ศิริจันทนันท์ แปล
“เราจะงดงามได้ก็ต่อเมื่อถูกมองเห็น แต่เมื่อถูกมองเห็น เราย่อมถูกล่า” ดูเหมือนจะเป็นประโยคสั้นๆ ที่ควบรวมนิยามชีวิตของวองได้รวบรัด หนักแน่น และชัดเจน
โอเชียน วอง มีชื่อแรกเกิดในภาษาเวียดนามว่า เวือง ควอก วินห์ (Vương Quốc Vinh) ลืมตาดูโลก ณ เมืองไซง่อน (นครโฮจิมินห์) ในเดือนตุลาคม ปี 1988 หรือ 13 ปีหลังเหตุการณ์ ‘กรุงไซง่อนแตก’ หรือในอีกชื่อเรียก ‘การปลดปล่อยไซ่ง่อน’ โดยกองทัพประชาชนเวียดนาม (People’s Army of Vietnam หรือ PAVN) และแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติ อันเป็นผลให้สงครามเวียดนามที่กินระยะเวลา 21 ปีสิ้นสุดลง
ทว่าผลกระทบจากสงครามไม่ได้จบสิ้นอยู่ในช่วงเวลาของมันเท่านั้น
เหมือนหญิงชาวเวียดนามหลายคนในสงครามครั้งนั้น—จะเป็น ไอ้จอห์น คนไหนก็ได้ ยายของวองก็เคยมีสามีเป็นทหารจีไอผิวขาวชาวอเมริกัน เธอมีลูกกับเขาสามคน และหนึ่งในนั้นคือแม่ลูกครึ่งเวียดนาม-อเมริกันที่มีผิวขาวผุดผ่องมากกว่าวองถึงหนึ่งเท่า
ในบทกวีชื่อ Notebook Fragments จากหนังสือรวมบทกวีที่กล่าวไปข้างต้น วองเขียนไว้ในท่อนหนึ่งว่า
“ทหารอเมริกันคนหนึ่งเย็ดสาวเวียดนามชาวไร่ แม่ผมจึงปรากฏ
ผมจึงปรากฏ การทิ้งระเบิดจึงสูญหาย = ครอบครัวสูญสิ้น = ตัวผมสิ้นสลาย”
—แปลจาก Night Sky with Exit Wounds โดยผู้เขียนบทความนี้
เรื่องเล่าของวองไม่ว่าจะเป็นบทกวีหรือนิยาย จึงมักพัวพันโยงใยอยู่ระหว่างเรื่องราวของผู้คนสามรุ่น
หนึ่ง—รุ่นยาย สอง—รุ่นแม่ และสาม—รุ่นของเขาเอง
เมื่ออายุได้สองขวบ ครอบครัวของวองตัดสินใจหนีออกจากเวียดนามหลังแม่ของเขาถูกตำรวจตั้งข้อสงสัยถึงสายเลือดผสมอเมริกันผิวขาวที่สูบฉีดอยู่บนใบหน้าและเส้นเลือดของตนมาตั้งแต่เกิด นโยบายการปกครองเกี่ยวกับชนชั้นแรงงานต่อลูกครึ่งอเมริกันสมัยนั้นไม่ยุติธรรมนัก มันเอนเอียงไปในทิศทางที่ค่อนข้างเลือกปฏิบัติอย่างเดียดฉันท์เสียส่วนใหญ่
สุดท้ายพวกเขาจึงตัดสินใจหนีไปเสียจากบ้าน ลงเอยในค่ายผู้อพยพที่ฟิลิปปินส์ ก่อนได้รับความคุ้มครองผู้ลี้ภัยและย้ายถิ่นสู่อเมริกาอย่างถาวร โดยตั้งรกรากอยู่ในฮาร์ตฟอร์ด เมืองหลวงของรัฐคอนเนกติคัต ทว่านั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการย้ายจากการเป็นคนนอกของที่นั่น สู่การเป็นคนนอกของที่นี่ ขณะพ่อผู้ให้กำเนิดก็หนีหัวซุกหัวซุนจากไปอย่างคนขี้ขลาด วองจึงถูกเลี้ยงมาด้วยพลังงานของเพศหญิง เขาเติบโตมาในร้านทำเล็บ และลงเอยด้วยการนิยามตนชัดถ้อยชัดคำว่า ‘เกย์’ เมื่อเติบโตขึ้น ทว่าในช่วงวัยเยาว์ วองไม่เคยเจอเรื่องง่าย ทั้งท่าทางตุ้งติ้ง จักรยานสีชมพูสดใสที่แม่ซื้อให้เพียงเพราะมันเป็นสีที่ราคาถูกกว่าสีใดๆ ผมดำสนิท รูปร่างบอบบางแบบคนเอเชีย แถมยังอยู่ในช่วงที่พูดภาษาอังกฤษได้ไม่คล่องนัก แน่นอนว่าเขาย่อมหลีกหนีการถูกกลั่นแกล้งไม่พ้น เพราะคนนอกเช่นนั้นมักปรากฏตนเด่นชัดออกจากฝูงเสมอ และใช่ เมื่อถูกมองเห็น เราย่อมถูกล่า
แต่ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ค้นพบหนทางของการมีชีวิตอยู่ผ่านการเขียน
“เมื่อผมเขียน ผมรู้สึกว่าตัวเองขยายใหญ่มากกว่าข้อจำกัดทางร่างกายของตน …ผมคิดว่าเราไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่องความเปราะบางในฐานะภาวะอันสามัญของมนุษย์กันมากนัก เรามักมองความเปราะบางเป็นเรื่องของความอ่อนแอ แต่เมื่อคุณพูดกับใครสักคน ถึงจะแค่ครึ่งชั่วโมง คุณก็จะตระหนักว่าคนทุกแบบ ทุกประเภท ทุกคนที่สร้างตัวตนขึ้นมาต่างเปราะบางแตกสลายง่ายดายทั้งสิ้น และความเปราะบางเช่นนั้นคือภาวะสามัญ
“ผมเผชิญหน้ากับการเป็นมนุษย์บนโลกนี้มาแล้ว 33 ปี และผมคิดว่าเราสร้างขอบเขตขึ้นมาเพื่อแอบซ่อนตัวเอง เราสร้างกลไกขึ้นเพื่อกันตัวเองออกห่างจากความอับอายของความเปราะบางในตัวเรา แต่ความเปราะบางมีความเป็นมนุษย์มากกว่าการวางท่าใหญ่โตองอาจ กระทั่งการเย้ยหยัน หรือหน้ากากแห่งอำนาจของความเป็นชายเสียอีก ความเปราะบางคือสิ่งที่แผ่ขยายยืดยาวในช่วงระยะเวลา 24 ชั่วโมง ในหนึ่งวัน ผมกล้าเถียงได้เลยว่าชั่วโมงส่วนใหญ่เหล่านั้น เราต่างใช้มันไปกับการรู้สึกว่าตัวเองเปราะบางแตกสลายได้ง่ายดาย และเราทำทุกทางที่ทำได้เพื่อแอบซ่อนมันไว้ เพราะเราได้เนรเทศมันออกไปจากสิ่งที่สังคมยอมรับได้เสียแล้ว
“ผมจึงบอกนักเรียนของผมว่า การลดเกราะกำบังที่คุณถูกสอนให้สร้างให้แข็งแกร่งมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล และการปลดอาวุธทิ้งไป แค่ก้าวเข้าสู่การงานของคุณ สู่โลกของคุณ และร่วมมือสร้างสรรค์กับความเปราะบางของคุณเองนั้น คือสิ่งที่ทรงพลังที่สุด คือการเสริมสร้างความแข็งแกร่งที่คุณทำได้ในฐานะศิลปิน การพูดว่าความเปราะบางของฉันคือกำลังอำนาจของฉัน เพราะนั่นคือสิ่งที่ความใส่ใจทั้งหมดทั้งมวลถูกสร้างขึ้น มันคือแรงปรารถนาต่อการพัฒนานั่นเอง และคือการเชื่อมต่อของผม คือความเห็นอกเห็นใจที่มาจากความเข้าใจของผม เพราะถ้าในฐานะเผ่าพันธ์ุหนึ่ง ผมเป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนนุ่มยิ่ง”
และก็เพราะวองยืนยันผ่านนิยายของตนไว้อีกด้วยว่า
“ผมเรียนรู้ว่า ความงามนี่เองที่เราต่างเสี่ยงชีวิตให้ได้มา”
—On Earth We’re Briefly Gorgeous เราต่างงดงามแล้วจางหาย
วรรษชล ศิริจันทนันท์ แปล
ส่วนที่มาของชื่อเขาซึ่งแปลว่ามหาสมุทร ก็ทั้งลึกซึ้ง น่าขัน และแสบสันแบบนิทานปรัมปราของคนนอกไม่แพ้กัน กล่าวคือวันหนึ่งระหว่างที่แม่ผู้เป็นช่างทำเล็บกำลังทำเล็บให้ลูกค้าคนหนึ่ง เธอพยายามพูดภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นว่า ปรารถนาจะไปเที่ยวทะเลให้ได้สักครั้ง แต่แทนที่จะออกเสียง ‘beach’ ที่แปลว่า ‘ชายหาด’ แม่ของวองกลับออกเสียงเป็น ‘bitch’ ที่อาจแปลได้ว่า ‘อีดอก’ หรืออะไรทำนองนี้แทน
ได้ยินดังนั้น ลูกค้าจึงแนะนำให้เธอลองใช้คำว่า ‘ocean’ ที่แปลว่า ‘มหาสมุทร’ ดู และเมื่อได้เรียนรู้ว่า ocean แท้จริงแล้วมีนิยามว่า ห้วงน้ำที่กว้างใหญ่ที่สุด เช่น มหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างอเมริกากับเวียดนามเข้าด้วยกัน เธอจึงเปลี่ยนชื่อลูกชายเป็น Ocean นับแต่นั้น
3
ขออภัยที่ต้องย้ำอีกครั้ง ว่าผลงานของโอเชียน วอง นั้นแผ่กว้างไพศาลสมชื่อจริงๆ ผมเริ่มต้นด้วย Night Sky with Exit Wounds ตามติดด้วยนิยายเรื่องแรกของเขา On Earth We’re Briefly Gorgeous และด้วยความที่ตัวผมวางตนเป็นคนเขียนนิยายเป็นหลัก ผมจึงควรยอมรับ: ผมอิจฉาเขาอีกครั้ง และครั้งนี้ยิ่งอิจฉามากขึ้นไปอีก และชื่นชมมากขึ้นไปด้วย
ความโดดเด่นในผลงานของโอเชียน วอง คือเรื่องราวตรงมาไปตรงมา แต่อัดแน่นไปด้วยการใช้ภาษาที่มากด้วยลูกเล่นและชั้นเชิง
เขาพาภาษาอังกฤษที่เคยครองโลกในยุคสงครามไปสู่อีกความหมาย เขาทุบทำลายจนแหลก และประกอบเสียใหม่ เขาใช้ภาษาของผู้ที่เคยไล่ล่าใครต่อใคร ให้เป็นอาวุธประจำกายของเขาเอง—เพื่อไล่ตามตัวเองให้ทัน เพื่อจะได้หาคำตอบให้เจอว่าตัวเองคือใคร เขาเปลี่ยน ellipsis หรือเครื่องหมายจุดไข่ปลาให้เป็นอุปมาของหยาดน้ำตา วองชอบเล่นกับโครงสร้างภาษา ยั่วล้อกฎกติกาการใช้ภาษาแบบขนบ
อย่างบทกวีชื่อ Immigrant Haibun ที่ผมกล่าวไปข้างต้น วองครอบมันไว้ด้วยฉันทลักษณ์ของกวีรูปแบบ Haibun (รูปแบบกวีที่มีต้นกำเนิดมาจากญี่ปุ่น เป็นการนำ prose หรือร้อยแก้ว และไฮกุมาผสมกัน ลักษณะคล้าย prosimetrum) ตามชื่อเรื่อง ก่อนจะพยายามแทรกโครงสร้างและสัญลักษณ์ต่างๆ ทางภาษาอังกฤษ เช่น word (คำ), hyphen (เครื่องหมายยติภังค์ [-], question mark (เครื่องหมายปรัศนีย์ [?]), ampersand (เครื่องหมาย & ใช้แทน and) เข้าไปเป็นอุปมา อาจเพื่อต้องการบอกว่า ชีวิตนั้นบางครั้งก็เหมือนการประกอบสร้างของวลี หรือประโยคสักประโยค รวมกันเป็นกลุ่มก้อน จัดเรียงต่อเนื่องกันไป เพื่อเป็นบทกวี เป็นเรื่องเล่า และเรื่องราวของเขาก็สั่นสะเทือนอารมณ์
ก็เผ่าพันธ์ุมนุษย์เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ต้น ไม่ใช่รูปลักษณ์สมบูรณ์แบบเพียบพร้อม มีประธาน กริยา กรรม หรือคำวิเศษณ์เพื่อใช้ขยายสิ่งต่างๆ พร้อมสรรพในวินาทีที่ถือกำเนิด ไม่ได้ถูกแม่มดคนใดเสกขึ้นให้งดงามหมดจดมาตั้งแต่แรก แต่มันคือการขัดเกลาตัวตน และยอมรับหรือร่วมมือฉันมิตรกับความเปราะบางของตัวเองไปตลอดชีวิต
4
ในบทกวีที่ผมกล่าวถึงช่วงต้นบทความ วองปิดท้ายมันอย่างสมบูรณ์ด้วยการซ้ำโครงสร้างประโยคเดิมจากย่อหน้าแรกในช่วงท้ายๆ ของบทกวีอีกครั้ง โดยบิดถ้อยคำเพียงเล็กน้อยว่า
“ถ้าคุณต้องรู้อะไรสักเรื่อง จงรู้เถอะว่าคุณกำเนิดมาเพราะว่า ไม่มีใครยอมเกิดมาแทนคุณ”
—แปลจาก Night Sky with Exit Wounds โดยผู้เขียนบทความนี้
ถึงอย่างนั้นการเกิดขึ้นมาของกวี-นักเขียนผู้นี้ในแวดวงหนังสือโลก ก็คือหนึ่งในความงดงามอย่างถึงที่สุดครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ …ผมยังอิจฉาเขารุนแรง และยอมรับนับถือในความสามารถไปพร้อมกัน แม้สุดท้ายเราทุกคนต่างงดงามแล้วจางหายไปในชั่วแวบสั้นๆ ของชีวิตหนึ่งหนึ่งตามชื่อฉบับแปลไทยของนิยายเล่มนั้น ทว่าหลังตีพิมพ์ผลงานรวมบทกวีเล่มล่าสุดในปี 2022 ชื่อ Time Is a Mother ที่เขียนขึ้นส่วนใหญ่ก่อนแม่ของเขาจะเสียชีวิต วองให้สัมภาษณ์กับ ลิซา อัลลาร์ไดซ์ (Lisa Allardice) แห่ง The Guardian ไว้ว่า
“ผมสลดหดหู่มาเกือบตลอดชีวิต ไม่ว่านั่นจะคือเพื่อน คือครอบครัว หรือคือความทุกข์ระทมร่วมกัน ผมคิดว่าเราต่างโศกสันต์ในบางหนทางอยู่แล้ว และบทกวีก็กลายมาเป็นพื้นที่ที่เราจะพบพานความเศร้าโศกของกันและกันได้”
ก่อนแม่ของเขาจะจากไป เธอมีโอกาสเห็นวองประสบความสำเร็จ แม้เธอจะไม่เข้าใจว่าเขาได้รับการยกย่องเช่นไรบ้าง เธอก็มักมางานอ่านหนังสือของเขาเสมอ เพื่อจะได้นั่งลงเผชิญหน้ากับผู้ชมเนืองแน่นเต็มงาน ดังนั้น เธอจึงรับรู้ว่าพวกเขาตอบสนองความเก่งกาจของลูกชายสุดที่รักของเธออย่างไร
ชั่วแวบแสนสั้นเราต่างงดงามในรูปแบบของตัวเอง แต่เราก็เป็นมรดกตกทอดของบางสิ่งด้วย—บางสิ่งที่ทั้งงดงามและกักขฬะมาก่อนหน้าเรา จากคนรุ่นก่อนหน้า จากบาดแผลดึกดำบรรพ์ จากความรักที่อาจตกผลึกกลายเป็นฟอสซิลไปนานแล้ว หน้าที่ในขณะมีลมหายใจจึงอาจเป็นการส่งต่อมรดกที่จะไม่ย้ำซ้ำบาดแผลฉกรรจ์ลงในหัวใจของคนรุ่นถัดไป
เมื่อ ‘เราต่างงดงามแล้วจางหาย’ โอเชียน วอง อาจกำลังอยากบอกนักอ่านของเขาเช่นนั้น และเขาในฐานะครูผู้สอนการเขียนเชิงสร้างสรรค์คนหนึ่งก็เคยให้สัมภาษณ์กับ Louisiana Channel ไว้เช่นนี้
“ผมคือครูคนหนึ่ง แต่ผมคิดว่าการสอนนั้นเกิดขึ้นได้ทุกช่วงของชีวิต ระหว่างช่างประปาและเด็กฝึกงานของเขา ระหว่างผู้คนที่ทำงานในร้านเสริมสวย แนวคิดเรื่องการส่งต่อความรู้เพื่อแบ่งปันและสร้างความผูกพันคือสิ่งงดงามที่เผ่าพันธุ์ของเราได้กระทำ ไม่ใช่แค่เพื่อสนับสนุนหรือเสริมส่งกันและกัน แต่เพื่อจะมีชีวิตอยู่รอดสืบไป”
อ้างอิง
• Allardice, L. (2022, April 4). Ocean Vuong: ‘I was addicted to everything you could crush into a white powder.’ The Guardian. theguardian.com/books/2022/apr/02/ocean-vuong-i-was-addicted-to-everything-you-could-crush-into-a-white-powder
• Louisiana Channel. (2022, September 6). Ocean Vuong: “When I write, I feel larger than the limits of my body.” | Louisiana Channel. YouTube. youtube.com/watch?v=u5NuCrAkjGw
• Vuong, Ocean (2016). Night Sky with Exit Wounds (1st ed., pp. 19-21). Copper Canyon Press.
• Vuong, Ocean. (2023). เราต่างงดงามแล้วจางหาย [On Earth We’re Briefly Gorgeous] (วรรษชล ศิริจันทนันท์, แปล). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แซลมอน.
• Wenger, D. (2016, April 7). How a Poet Named Ocean Means to Fix the English Language. The New Yorker. newyorker.com/books/page-turner/how-a-poet-named-ocean-means-to-fix-the-english-language