Mon 28 Aug 2023

HOW TO READ MOR(E)

‘มอร์ วสุพล’ ศิลปินและผู้กำกับที่สนุกกับการเป็นนักอ่าน แต่ยืนกรานว่าจะไม่เป็นนักเขียน

     หลายคนอาจรู้จัก ‘มอร์—วสุพล เกรียงประภากิจ’ ในฐานะนักร้องนำ Ten To Twelve วงอินดี้ป๊อปร็อกที่โด่งดังในยุค 2010, ศิลปินเดี่ยว Morvasu ในลุคหนุ่มมาดเซอร์เสียงนุ่มที่ทำให้วลี I Melbourne You กลายเป็นประโยคบอกรัก และผู้กำกับฝีมือดีแห่ง Tender Film. ที่มีผลงานโดดเด่นจนไปคว้า Shortlist ของเทศกาล Cannes Lions 2019 มาได้

     แต่เราไม่ใช่หลายคนในนั้น เพราะเรารู้จักเขาจากหนังสือ

     Power Bride เจ้าสาวที่กลัวสวย คือหนังสือที่เล่าถึงการจัดงานแต่งงานฉบับวัยรุ่นเจนวาย โดยผู้เขียนเล่มนี้ (นิดนก—เจ้าสาว) รู้จักกับมอร์มาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เขาจึงได้มาปรากฏตัวในฐานะนักร้องงานแต่ง และผู้เขียนคำนิยมหนังสือ

     ด้วยความสงสัยว่า Ten To Twelve เป็นใคร ร้องเพลงอะไร เราจึงไปเสิร์ชในยูทูบ และเมื่อฟัง ภาวนา ไปได้ครึ่งเพลงก็ต้องร้องอ๋อ เพราะมั่นใจว่าน่าจะเคยฟังจากการเปิดของดีเจสักคนในคลื่นวิทยุแน่นอน

     เวลาผ่านไปชื่อของมอร์กลับมาเป็นที่พูดถึงในหน้าฟีดของเราอีกครั้ง เมื่อเขาปล่อยเพลง Melbourne ออกมาเมื่อกรกฎาคม 2020 และได้รับกระแสตอบรับดีเยี่ยมสุดๆ หลังจากนั้นมอร์ก็ออกเพลงอื่นๆ เรื่อยมาจนรวมได้เป็นอัลบั้ม In Relationship With_ เมื่อปี 2022

     แล้วมอร์ก็เงียบหายไปเกือบหนึ่งปี

     กระทั่งเดือนกรกฎาคม 2023 เขากลับมาอีกครั้งพร้อมซิงเกิลใหม่ ได้ก็ดี เพลงทำนองสนุกที่เล่าถึงความสัมพันธ์ชอบเขาข้างเดียว เขาจะไม่ชอบกลับก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าชอบได้ก็ดี

     ด้วยวาระเพลงใหม่นี้เองที่ทำให้เราได้คุยกับมอร์ เราจึงถือโอกาสนี้ชวนเขาคุยเรื่องการอ่านไปด้วยเลย

     ไม่ขอเกริ่นอะไรมาก เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า

เราเคยคุยกันเมื่อปลายปี 2020 พี่มอร์จำได้ไหม

     จำได้ๆ ที่ให้คนแนะนำหนังสือ 30 วัน 30 เล่ม 

เห็นพี่มอร์เคยบอกในบทสัมภาษณ์ชิ้นหนึ่งว่างานอดิเรกคือการอ่านหนังสือ ปัจจุบันยังเป็นแบบนั้นอยู่มั้ย

     ปัจจุบันก็อ่าน แต่ไม่เยอะเท่าสมัยก่อน เหมือนสมาธิสั้นลง เราว่าทุกคนน่าจะเป็นเหมือนกัน มันมีสิ่งที่มาแย่งความสนใจยามกลางคืน

ตอนเด็กๆ พี่มอร์ชอบอ่านอะไร

     พ่อเราเป็นหนอนหนังสือ ฝาผนังบ้านเราเป็นชั้นหนังสือหมดเลย จะเรียกว่าโตมากับหนังสือเลยก็ได้ ตอนเด็กๆ ก็อ่านการ์ตูนญี่ปุ่น การ์ตูนวิทยาศาสตร์ แล้วก็พวกสารานุกรมเล่มใหญ่ๆ เรื่องการสร้างกระสวยอวกาศ ไดโนเสาร์ พอสัก ม.ต้นก็เริ่มอ่านหนังสือของปราบดา หยุ่น ก่อนจะกลายเป็นติ่งเขา

มีการ์ตูนที่ชอบเป็นพิเศษไหม

     ถ้าเด็กมากๆ ก็ ขบวนการห้าสี, โดราเอมอน โตขึ้นมาหน่อยก็อ่านนิตยสารการ์ตูน Boom กับ C-KiDs แต่อ่านของเพื่อนนะ เพราะตอนนั้นได้ค่าขนมไม่ค่อยเยอะ แล้วก็ไม่ได้อยากอ่านทุกเรื่อง 

ตอนนั้นชอบอ่านเรื่องอะไร

     เราอ่าน วันพีซ ตั้งแต่ตอนอยู่ ม.3 แต่ก็ไม่ได้อ่านต่อตั้งแต่เล่มประมาณสี่สิบมั้ง ไม่รู้จะกลับไปเริ่มยังไง ทำไมมันยังไม่จบสักที นารูโตะ เขาจบไปนานแล้วนะ 

รู้จักเอสมั้ย

     รู้จัก

เอสตุยหรือยัง

     นี่เราโดนสปอยล์หรือเปล่า

     …

จำได้มั้ยว่าอ่านเรื่องไหนของปราบดา หยุ่น (รีบเปลี่ยนเรื่อง)

     เราอ่านทุกเรื่องของเขาเลย น่าจะอ่าน ชิทแตก เป็นเล่มแรกๆ มั้ง พี่เจ Penguin Villa (เจตมนต์ มละโยธา) มาทำอัลบั้มเพลงประกอบให้หนังสือเล่มนี้ รู้สึกว่ามันเป็นมาร์เกตติ้งที่ประหลาดและดีมาก 

พอเริ่มอ่านเป็นจริงเป็นจัง มีแนวที่ชอบเป็นพิเศษไหม

     ไม่มีขนาดนั้น ขึ้นอยู่กับช่วงเลย บางช่วงก็ชอบเรื่องแต่งมากกว่า บางช่วงก็ชอบอ่านน็อนฟิกชั่นมากกว่า เราว่าหนังสือกับเพลงเรามีความหลากหลายมาก

พูดว่าอ่านทุกแนวได้มั้ย

     มันขึ้นอยู่กับจริตคนเขียน บางเล่มเราอาจจะไม่ไปต่อ เพราะรู้สึกว่าเหนื่อยไป 

แปลว่าพี่มอร์เป็นนักอ่านประเภทที่ถ้าไม่สนุกก็จะไม่ไปต่อ

     ใช่ครับ เคยมีช่วงที่พยายามเพราะซื้อมาแล้ว แต่ตอนหลังคิดว่าไม่เป็นไร เพราะมันมีหนังสืออีกเยอะมากที่อยู่ในกองดอง

มีนักเขียนที่ชอบเป็นพิเศษไหม

     ถ้าเป็นตอนนี้นึกไม่ค่อยออกแล้ว รู้ว่าชอบงานใครบ้าง แต่ไม่มีคนที่ชอบเป็นพิเศษ เรารู้สึกว่าวัยนั้นมันมาถึงแล้วสินะ (หัวเราะ) วัยที่ถ้าถามว่าศิลปินที่เราชอบที่สุดเป็นใคร แล้วเราจะตอบไม่ได้ เพราะเราจะชอบเป็นพาร์ตๆ เป็นเพลงๆ เป็นเล่มๆ ถ้าให้ยกตัวอย่างก็เช่น ยูวัล โนอาห์ แฮรารี (Yuval Noah Harari) เราก็ชอบแค่ เซเปียนส์ เล่มอื่นไม่ได้ชอบมาก รู้สึกมันยากไป

ถ้าเป็นสมัยก่อนเวลาชอบนักเขียนสักคน เราก็คงอยากอ่านหนังสือเขาทุกเล่ม

     เราว่าช่วง ม.ปลายจะเป็นช่วงที่มีความเป็นติ่งสูง พอไม่อ่านทุกเล่ม เราจะรู้สึกว่าไม่ใช่แฟนตัวจริง แต่เดี๋ยวนี้ทุกอย่างมันเร็วมาก ตามไม่ไหว

แล้วสถานการณ์กองดองในบ้านเป็นยังไงบ้าง

     ปีนี้ดีขึ้น เพราะบอกกับตัวเองว่าต้องอ่านเล่มที่กองอยู่ที่บ้านก่อนจะซื้อเล่มใหม่

ทำไมมีความอดทน

     เพราะไม่งั้นมันดองเหลือเกิน

มีหนังสือแนวที่แพ้ทางมั้ย

     ไม่เท่เลย แล้วก็เขินนิดหน่อย คือเราซื้อหนังสือจากการดูหน้าปกง่ายมากเลย Don’t judge a book by its cover ใช่มั้ย แต่ทำไงได้ มันสวยอะ

เป็นนักอ่านแล้วฝันอยากเป็นนักเขียนมั้ย

     พี่แบงค์ (ณัฐชนน มหาอิทธิดล ผู้ก่อตั้งและอดีตบรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์แซลมอน) เคยมาชวนไปเขียน แต่เราบอกเขาว่าไม่อยากทำ เพราะรู้สึกว่าการอ่านเป็นการพักผ่อนที่แท้จริงของเรา เหมือนเราไม่ได้รู้สึกพักผ่อน 100% เวลาฟังเพลงหรือดูหนัง เพราะเราเป็นผู้กำกับและนักดนตรี 

     เวลาดูหนังเราจะไม่สามารถอยู่กับเรื่องได้จริงๆ จะดูวิธีการเล่าเรื่อง กล้องแพนมาจากตรงนี้ หรือเวลาฟังเพลงเราก็จะคิดเป็นโครงสร้างคอร์ดขึ้นมาเลย

     เราไม่อยากรู้สึกว่าอ่านไปพารากราฟนึงแล้วรู้สึกว่า โห แม่งเล่าเรื่องดีมากเลยว่ะ วิธีการลงคำตรงนี้มันทำงานมากในความรู้สึก 

     ยกเว้นถ้าเป็นบทหนัง อันนี้ต้องเขียน เพราะเป็นงาน แล้วมันเอาไปทำงานกับภาพ แต่ถ้าเป็นหนังสือมันจะทำงานกับเท็กซ์เพียงอย่างเดียว ซึ่งเราเขียนอะไรสั้นๆ ได้นะ แต่ไม่เขียนเป็นเล่ม

สมมติถ้ามีโอกาสได้เขียน คิดว่าตัวเองเหมาะกับการเขียนหนังสือประเภทไหน

     ไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย (นิ่งคิดไปสักพัก) เราไม่แน่ใจว่ะ แต่คิดว่าเป็นคนสมาธิสั้น เขียนยาวๆ ไม่ไหว ถ้าไม่เป็นเรื่องสั้น ก็คงเป็นเล่าเรื่องจากมุมมองตัวเอง

การอ่านหนังสือส่งผลต่อตัวตนพี่มอร์ยังไง

     เราเพิ่งกลับมาอ่านหนังสือเยอะขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน แล้วเราชอบมาก เพราะหนังสือมีการเล่าเรื่องอีกฟอร์แมตหนึ่ง แล้วเราขโมยไปใช้งานได้ 

     เราอาจจะได้ความคิดหรือ attitude บางอย่างจากหนังสือที่อ่าน คงจะระบุเป็นเล่มโดยตรงไม่ได้ เหมือนมันสั่งสมมามากกว่า

Melbourne เพิ่งครบรอบสามปีไปใช่มั้ย

     ใช่ครับ

สามปีที่ผ่านมารู้สึกยังไงบ้าง

     ไม่ได้รู้สึกอะไรกับการครบรอบสามปีของเพลง มันก็โอเคๆ 

งั้นสามปีที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

     สิ่งที่เราค้นพบคือยุคนี้คนไฮป์แล้วลืมเร็วมาก เราทำ Ten to Twelve มาสิบกว่าปีแล้วเนอะ สมัยก่อนไทม์มิ่งการชอบเพลงหนึ่งเพลงมันจะนานกว่านี้ แต่เดี๋ยวนี้เหมือนบางเพลงดังแค่วันเดียว ทุกอย่างมันเร็วมาก 

แล้วทางด้านชีวิต

     แต่งงานครับ (ยิ้ม)

เหมือนพี่มอร์ไม่ได้ออกเพลงมาสักพัก เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า

     คิดไม่ออกครับ แค่นั้นเลย เหมือนเราเพิ่งปล่อยอัลบั้ม 13 เพลงไปเมื่อปีที่แล้ว ใส่ไปหมดแล้ว เลยคิดไม่ออก ไม่ได้ทำเพลงประมาณ 6-7 เดือน ก่อนจะค่อยๆ กลับมาทำเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แล้วก็ปล่อย ได้ก็ดี ตอนเดือนกรกฎาคม

สำหรับเพลง ได้ก็ดี ตั้งใจจะทำเป็นอัลบั้ม หรือเป็นซิงเกิลอย่างเดียว

     คิดว่าทำเป็นซิงเกิลไปเรื่อยๆ แล้วคงรวมเป็นอัลบั้ม จะต่างกับอัลบั้มแรกตรงที่เราตั้งใจจะอัดเครื่องดนตรีแบบเล่นสดทั้งหมด ซาวนด์ก็จะมีความสดกว่า

อยากให้ช่วยเล่าที่มาของเพลงสักหน่อย

     เรากับป้อง (ปกป้อง จิตดี) ทำแบ็กกิ้งแทร็กเก็บไว้ตั้งแต่ต้นปี มีเมโลดี้ มีดนตรีนิดหน่อย ให้เห็นไวบ์ เห็นมู้ด แล้วเราไปทำงานบ้านป้อง เลยขอให้เพลง (ต้องตา จิตดี) ช่วยคิดหน่อยว่าเพลงนี้เขียนเกี่ยวกับอะไรดี เพลงฟังแล้วก็เอาเมโลดี้ท้ายมาร้องเป็นท่อน “ได้ก็ดี” เราก็เลยนั่งโยนไอเดียกันไปกันมา แป๊ปเดียวก็ได้ท่อนฮุก แล้วก็เขียนเนื้อเพลงเสร็จในคืนนั้นเลย 

     มันเหมือนคิดงานกลุ่มแล้วดูรีแอ็กชั่นได้ทันที ประโยคแรกมาเลย “ไม่คุยก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุยได้ก็ดี” เราเหมือนเป็น moderator ไม่คุยแล้วต้องอะไรต่อ ไม่เจอก็ได้ แต่ถ้าเจอได้ก็ดีนะ แล้วก็ต่อกันไปเป็นเพลง จำได้ว่าวันนั้นสนุกมาก

     เอาจริงๆ สิ่งที่ชอบมากกว่าการปล่อยเพลงคือการทำเพลง มันฟูลฟิลอะไรบางอย่าง

เหมือนการเป็นศิลปินเดี่ยวก็ไม่ได้เดี่ยวขนาดนั้น

     ใช่ครับ สำหรับเรา Morvasu คือมอร์บวกป้อง มอร์ทำเนื้อ ดูไดเรกชั่น ส่วนป้องทำดนตรี 

ปกติพี่มอร์กำกับเอ็มวีเพลงทุกเพลงมั้ย

     ไม่ครับ เฉพาะ Melbourne กับ ได้ก็ดี

ตอนเป็นผู้กำกับให้ศิลปินคนอื่นกับเป็นผู้กำกับงานตัวเอง มีความต่างกันมั้ย

     ต่างตรงที่ต้องคิดสองอย่างพร้อมกัน ถ้าเป็นของคนอื่นเราแค่อยู่หลังมอนิเตอร์แล้วให้มันรันไปตามที่เราคิด แต่อันนี้ต้องสับสวิตช์ไปมา แบบไปอยู่หน้ากล้องบ้าง แต่เหมือนเราจะเข้าใจสิ่งนี้แล้ว ตอน Melbourne มันจะทำได้ไม่ค่อยดี เพราะระหว่างที่อยู่หน้ากล้องก็จะคิดว่าหลังกล้องเป็นยังไง ตอนนี้ไม่คิดแล้ว เรียนรู้ว่าต้องไว้ใจทีมงาน 

เพลงนี้เหมือนใช้เพื่อนพี่น้องศิลปินมาเล่นด้วย

     ก็ชวนๆ เพื่อนในค่ายมาคอสเพลย์เป็นเรา (หัวเราะ) 

มีเรื่องสนุกๆ ในกองถ่ายบ้างมั้ย

     มีสิ่งหนึ่งที่นึกขึ้นมาในฐานะผู้กำกับคือเอ็มวีมันเรียบร้อยเหมือนกันเนอะ เลยให้กล้องเก็บภาพเบื้องหลังที่คนในกองกำลังพัก เปลี่ยนเสื้อ ย้ายกล้อง เอามาตัดเป็นเวอร์ชั่น Speed up เหมือนการทำเอ็มวีซ้อนกันในกองถ่าย สนุกดี

เอาตรงๆ คือ Melbourne ดังมาก พี่มอร์รับมือกับความคาดหวังในการปล่อยเพลงต่อๆ มายังไง

     เราโตมากับโลกกึ่งอนาล็อกเลยพอเข้าใจการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้เข้าใจเลย บางทีมันก็เศร้า ถึงแม้ปากเราจะบอกว่าไม่ได้คาดหวัง แต่ใจมันก็อาจจะคิดโดยไม่รู้ตัว

ปรับความคิดตัวเองยังไง

     เราพยายามจะทำให้ดีที่สุด เตรียมของที่จะปล่อยให้พร้อม ห้าปีที่แล้วการปล่อยเพลงคือปล่อยเอ็มวี แล้วก็รอดู แต่เดี๋ยวนี้โดยเฉพาะปีนี้มันคือการเตรียมกระสุนไว้เยอะที่สุด แล้วยิงไปเรื่อยๆ กระสุนแรกคือเอ็มวี แต่ต้องมีกระสุนรองลงมาเพื่อให้คนวนกลับไปที่อันแรก เรารู้สึกว่าสำหรับเพลงนี้ เราก็เตรียมให้มันพร้อมที่สุด ถ้าไม่ได้แบบที่คาดหวังไว้ เราก็ช่างแม่ง 

พี่มอร์มองตัวเองเป็นศิลปินหรือผู้กำกับมากกว่ากัน

     พูดแล้วมันเท่ไป (หัวเราะ) คิดว่าเป็นคนเล่าเรื่องมากกว่า แค่เล่าบน channel ที่ต่างกัน 

แล้วชอบตัวเองพาร์ตไหนมากกว่า

     แล้วแต่ช่วง อย่างช่วงนี้สนุกกับการเป็นศิลปิน แล้วเอาเข้าจริงทุกวันนี้ก็มีอะไรให้ทำเยอะไปหมด เราเลยเหมือนได้เอาตัวเองในฐานะศิลปินเป็นที่ทดลองความเข้าใจในอินเทอร์เน็ตยุคนี้ 

READ WITH MOR
อ่านตามมอร์ได้ก็ดี

Normal People ปกติคือไม่รัก / Sally Rooney / Salmon Books

     “ถือเป็นขนมหวานให้คนที่ยังไม่อยากอ่านหนังสือฮาร์ดคอร์มาก Normal People คือเล่มที่เราชอบมากของปีที่แล้ว เรามองว่ามันคือการย้อนกลับไปช่วงอายุ 17-18 ที่เราไม่ได้เข้าใจโลกเหมือนตอนนี้ มันเห็นความวัยรุ่นมีเลือดมีเนื้อเต็มไปหมด มันพูดเรื่องความสัมพันธ์ไม่มีชื่อ คิดว่ารุ่นใหม่มากๆ ในฟอร์แมตนิยาย”

สวนสัตว์กระดาษและเรื่องสั้นอื่นๆ / Ken Liu / Salt

     “เราอ่านเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ แล้วก็ภาษาไทยเฉพาะเล่มแรก เคน หลิว คือคนจีนที่ย้ายไปอยู่อเมริกาตั้งแต่เด็กๆ เขาจะมีรากความจีนพอๆ กับความอเมริกัน เรื่องสั้นขนาดยาวของเขาเลยมีหัวใจตะวันออก แต่เล่าแบบไซไฟ ซึ่งการผสมสองอย่างนี้แม่งบ้าคลั่งมาก พอผสมปุ๊บเละเลย ร้องไห้เละ สนุกมาก และใจร้ายมากในหลายๆ เรื่อง”

เซเปียนส์ ประวัติย่อมนุษยชาติ / Yuval Noah Harari / สำนักพิมพ์ยิปซี

     “เราว่ามันสนุกมากเลย เราตื่นเต้นมากกับการได้รู้ข้อมูลใหม่ๆ บนหลักฐานที่เขาเอามาวาง ถ้าใครไม่ถนัดเป็นเท็กซ์ อ่านเป็นแบบการ์ตูนก็ได้”

ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี / ณัฐพล ใจจริง / สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน

     “ทุกครั้งเวลานึกถึงหนังสือที่ชอบก็จะมีเล่มนี้ มันคือหน้าประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้อยู่ในหนังสือเรียน ถ้าคนไทยได้อ่านสิ่งนี้ก็คงดี มันเต็มไปด้วยชุดข้อมูลที่ตื่นเต้น แล้วมันเป็น fact มากกว่า opinion เพราะ 1/3 ของเล่มข้างหลังคือบรรณานุกรมหมดเลย”

ขอขอบคุณ ร้าน Gimbocha สำหรับการเอื้อเฟื้อสถานที่